วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สภาวิชาชีพกำหนดให้ต่ออายุใบประกอบวิชาชีพได้เพียงใด

ปรุฬห์ รุจนธำรงค์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แพทยสภาก็เคยออกข้อบังคับแพทยสภาเกี่ยวกับการต่ออายุใบประกอ​บวิชาชีพ (โปรดดูข้อ 25 แห่งข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยการศึกษาต่อเนื่องสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2543 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2543/D/064/22.PDF) ต่อมาก็ถูกฟ้องศาลปกครอง เพราะพระราชบัญญัติวิชาชีพเ​วชกรรมฯ ยังไม่ให้ทำแบบนั้นได้ ศาลปกครองสูงสุดก็ให้รับคำร้อง เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2545  (http://court.admincourt.go.th/ordered/Attach/45_pdf/s45-0586-o01.pdf) คาดว่าแพทยสภาคงไม่เชื่อจึงนำเรื่องไปปรึกษากับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งมี บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง  การกำหนดให้แพทย์ต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม (เรื่องเสร็จที่ 49/2546) ให้ความเห็นว่าต้องแก้พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 เท่านั้น (ดูรายละเอียดที่ http://www.lawreform.go.th/lawreform/images/th/jud/th/deca/2546/c2_0049_2546.htm) และต่อมาก็มีการยกเลิกข้อความในข้อบังคับแพทยสภานั้น (โปรดดู ข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยการศึกษาต่อเนื่องสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2546 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/00126605.PDF) ไม่พบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีนี้ อาจเป็นเพราะประเด็นที่จะวินิจฉัยไม่มีอีกต่อไปแล้วเนื่องจากมีการยกเลิกข้อบังคับแพทยสภาดังกล่าวหรือไม่ก็ผู้ร้องขอถอนคำร้องออกไป

กฎหมายของวิชาชีพเภสัชกรรมก็หน้าตาแบบเดียวกับกฎหมายวิ​ชาชีพเวชกรรม ต้องรอแก้ไขพระราชบัญญัติวิ​ชาชีพเภสัชกรรม ครับ ต้องรอให้คณะรัฐมนตรีหรือสม​าชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอเข้า​ไปใหม่อีกครั้ง เพราะกฎหมายวิชาชีพในปัจจุบันไม่เอื้อให้ทำอย่างนั้น และร่างกฎหมายใหม่ล่าสุดที่​พอหามาได้ก็มีความพยายามเสน​อแล้ว แต่ยุบสภาไปก่อน และรัฐสภาก็ไม่ได้รับรองให้​พิจารณาต่อ ดังนั้นต้องเสนอเข้าไปใหม่ (ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://​rparun.blogspot.com/2011/​09/draftpharmacyact01.htmlและดูความหลังของการประชาพิจารณ์ได้ที่ http://www.slideshare.net/rparun/2544-pharmaistrenewallicense)

ส่วนพยาบาลแก้กฎหมายวิชาชีพ​แล้ว จึงดำเนินการเรื่องต่ออายุใบ​ประกอบวิชาชีพได้ ส่วนบุคคลที่เคยได้รับใบอนุญาตไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับใหม่ใช้บังคับ  เมื่อมีพระราชบัญญัติฉบับใหม่ซึ่งกำหนดให้ต่ออายุใบอนุญาตแล้ว ก็อยู่ภายใต้กฎหมายฉบับใหม่ด้วย ไม่ถือว่าเป็นการออกกฎหมายที่ให้ผลยอนหลังในทางที่ไม่เป็นคุณ ศาลรัฐธรรมนูญเคยให้เหตุผลว่า เนื่องจากใบอนุญาตเดิมไม่ได้กำหนดอายุใบอนุญาตไว้กฎหมายใหม่มีช่วงเวลาต่ออายุออกไปอีกระยะเวลาหนึ่งนับแต่วันที่กฎหมายใหม่ใช้บังคับ ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการต่ออายุใบอนุญาต จึงไม่ได้มีผลย้อนหลังไปนับตั้งแต่วันออกใบอนุญาต และการกำหนดให้ต่ออายุใบอนุญาตนี้ย่อมเป็นประโยชน์แก่ประชาชนให้ได้รับบริการจากผู้ประกอบวิชาชีพที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพ ทั้งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคและการจัดระเบียบการประกอบอาชีพของสังคมเพื่อสวัสดิภาพของประชาชน จึงไม่ถือว่าเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ   โปรดดูคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยที่ 28/2547 วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2547 (http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/0A/00147233.PDF)

ส่วนกรณีการรับฟังความเห็นในกระบวนการจัดทำร่างพระราชบัญญัติเมื่อยังอยู่ในขั้นตอนของฝ่ายบริหาร เช่น อยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภาเภสัชกรรม หรือกระทรวงสาธารณสุข หรือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น ส่วนตัวมีความเห็นว่าถ้ามีการรับฟังความคิดเห็นได้ก็เป็นเรื่องที่ดี ทำให้เกิดความมีส่วนร่วมจากสมาชิก แต่ถ้าไม่มีการรับฟังความเห็นเลยจะฟ้องศาลปกครองได้หรือไม่นั้น พึงศึกษากรณีดังนี้


นวคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่ 409/2552  (http://court.admincourt.go.th/ordered/Attach/52_pdf/1-3-52-409.pdf) ซึ่งเป็นกรณีที่อ้างว่าร่างพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่ได้ผ่านการประชาพิจารณ์ ศาลปกครองสูงสุดได้วางหลักไว้ว่า

การดำเนินการให้มีการยกร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และนำร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามีมติให้เสนอต่อสภา โดยสภาพแล้วการกระทำ ไม่มีผลทางกฎหมายออกสู่ภายนอกไปกระทบกระเทือนต่อสิทธิ เสรีภาพ หรือประโยชน์ อันชอบธรรมอย่างใดๆ ของผู้ฟ้องคดีหรือของบุคคลใดๆ หรือก่อความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะก่อความเดือดร้อนหรือเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีหรือบุคคลใดๆ โดยตรงและเป็นการเฉพาะตัวแต่อย่างใด ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิฟ้องคดี

นอกจากนี้ยังมีคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 58/2555 วันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2555 ออกมาในทำนองเดียวกัน

ผู้ฟ้องคดีทั้งสามฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสามในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม และในฐานะประชาชนคนไทย ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหาย โดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้จากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กระทรวงสาธารณสุข) ยกร่าง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) ได้ร่วมร่าง แก้ไข เพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญและรับรองร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่า กระบวนการในการร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวทั้งในระดับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ เห็นว่า การดำเนินการยกร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และการร่วมร่าง แก้ไข เพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ และรับรองร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นเพียงการดำเนินการให้มีการยกร่างและนำร่างพระราชบัญญัติข้างต้นเสนอต่อ คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามีมติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองกับคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่เสนอร่างพระราชบัญญัติต่างๆ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น โดยสภาพแล้วการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดังกล่าวจึงไม่มีผลทางกฎหมายออกสู่ภายนอกไปกระทบกระเทือนต่อสิทธิ เสรีภาพ หรือประโยชน์อันชอบธรรมอย่างใดๆ ของผู้ฟ้องคดีทั้งสามไม่ว่าในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมหรือในฐานะประชาชน คนไทยหรือของบุคคลใดๆ หรือก่อความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะก่อความเดือดร้อนหรือเสียหายให้ แก่ผู้ฟ้องคดีหรือบุคคลใดๆ โดยตรงและเป็นการเฉพาะตัวแต่อย่างใด ผู้ฟ้องคดีจึงไม่เป็นผู้ซึ่งได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ในเรื่องนี้ นอกจากนี้ ความเดือดร้อนของผู้ฟ้องคดีทั้งสามไม่ได้เกิดจากการที่หน่วยงานทางปกครอง กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใด หรืองดเว้นการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดของหน่วยงานทางปกครองตามที่กำหนดไว้ใน มาตรา 9 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ อีกทั้ง คำขอของผู้ฟ้องคดีทั้งสามที่ประสงค์ให้ศาลปกครองมีคำพิพากษาว่า กระบวนการในการยกร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... ทั้งในระดับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ นั้น เป็นคำขอที่ศาลปกครองไม่อาจกำหนดคำบังคับให้ได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 72 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้ฟ้องคดีทั้งสาม จึงมิใช่ผู้มีสิทธิฟ้องคดีนี้ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว


จากแนวคำสั่งศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวนี้ จะเห็นว่า ถ้าร่างพระราชบัญญัติยังอยู่ในขั้นตอนของฝ่ายบริหารแล้ว ไม่สามารถฟ้องศาลปกครองได้ เนื่องจากโดยสภาพแล้วการกระทำ ไม่มีผลทางกฎหมายออกสู่ภายนอกไปกระทบกระเทือนต่อสิทธิ เสรีภาพ หรือประโยชน์ อันชอบธรรมอย่างใดๆ ของผู้ฟ้องคดีหรือของบุคคลใดๆ หรือก่อความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะก่อความเดือดร้อนหรือเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีหรือบุคคลใดๆ โดยตรงและเป็นการเฉพาะตัวแต่อย่างใด

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ข้อสังเกตของยาควบคุมพิเศษซึ่งต้องใช้ใบสั่งแพทย์

ภก.ปรุฬห์ รุจนธำรงค์ 

การขายยาตามใบสั่งแพทย์ไม่ได้ระบุไว้ในพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม แต่การขายยาตามใบสั่งแพทย์นั้นได้ระบุไว้ในกฎกระทรวงให้เป็นปัจจุบัน คือ กฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน พ.ศ. 2556 (กฎกระทรวงฉบับนี้ได้อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 มาตรา 39 โดยเฉพาะ (8) ให้เภสัชกรมีหน้าที่อื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง)

กฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน พ.ศ. 2556 กำหนดให้การขายยาควบคุมพิเศษ ควบคุมให้ขายยาควบคุมพิเศษเฉพาะแก่ผู้รับอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน ผู้รับอนุญาตขายส่งยาแผนปัจจุบัน ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นหนึ่ง หรือเฉพาะตามใบสั่งยาของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม หรือผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นหนึ่ง แต่ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินและจำเป็นเพื่อความปลอดภัยแห่งชีวิตของผู้ป่วย เภสัชกรชั้นหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการประจำสถานที่ขายยาแผนปัจจุบัน หรือสถานที่ขายส่งยาแผนปัจจุบันจะขายยาควบคุมพิเศษโดยไม่ต้องมีใบสั่งยาก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตามข้อ 10(5

                    ข้อสังเกต กรณีทั่วไป เช่น การขายยาควบคุมพิเศษให้กับประชาชนต้องใช้ใบสั่งจากแพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ แต่ถ้าเป็นการขายยาควบคุมพิเศษให้กับผู้รับอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน ผู้รับอนุญาตขายส่งยาแผนปัจจุบัน แพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ ไม่ต้องใช้ใบสั่งยาของผ้ประกอบวิชาชีพ นอกจากนี้มีกรณีกำหนดเงื่อนไขการขายยาควบคุมพิเศษโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ใน กรณีที่มีเหตุฉุกเฉินและจำเป็นเพื่อความปลอดภัยแห่งชีวิตของผู้ป่วย


นอกจากนี้ ประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง กำหนดแบบคำขอและใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน ลงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2557 กำหนดให้จัดทำบัญชีการขายยาควบคุมพิเศษแต่ละอย่างทุกครั้งโดยแสดงเลขที่หรืออักษรของครั้งที่ผลิต ชื่อและปริมาณยา ตลอดจนวัน เดือน ปี ที่ขายตามแบบ ข.ย. 10 และให้เก็บบัญชีไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า สามปีนับแต่วันขาย  (ข้อสังเกต: เดิมบัญชีขายยาควบคุมพิเศษ อยู่ในบัญชี ข.ย.7 ถูกแยกออกมาเป็น ข.ย.10 นอกจากนี้เดิมบัญชีขายยาอันตรายนั้นในใบหนึ่งเขียนยาหลายยี่ห้อหลายชื่อการค้า หลายเลขที่หรืออักษรของครั้งที่ผลิต (Lot No., Batch No.) ในใบเดียวกันได้ แต่แบบฟอร์มใหม่ ใบหนึ่งเขียนได้เฉพาะชื่อการค้าเดียวและเลขที่หรืออักษรของครั้งที่ผลิตเดียวเท่านั้น ที่สำคัญ คือ แบบ ข.ย.11 นี้ ให้ระบุชื่อผู้ซื้อด้วย)


เมื่อยาควบคุมพิเศษต้องขายตามใบสั่งยาแล้ว นั่นหมายความว่า จะต้องทำบัญชีการขายยาตามใบสั่งยาตามฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน พ.ศ. 2556 และประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง กำหนดแบบคำขอและใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน ลงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2557 ด้วย โดยให้จัดทำบัญชีการขายยาแต่ละอย่างทุกครั้งที่ขายตามใบสั่งยาของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบโรคศิลปะ หรือผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ โดยแสดงชื่อ อายุ และที่อยู่ของผู้ใช้ยา ชื่อ และที่อยู่หรือที่ทำงานของผู้สั่งยา ชื่อและปริมาณยา ตลอดจนวัน เดือน ปี ที่ขายตามแบบ ข.ย. 12 และให้เก็บใบสั่งยาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีนับแต่วันขาย และให้เก็บบัญชีไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามปี นับแต่วันขาย (ข้อสังเกต: เดิมเป็นบัญชี ข.ย.9 เปลี่ยนชื่อเป็น ข.ย.12)


เดิมฎกระทรวง ฉบับที่ 15 (พ.ศ. 2525) ออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ข้อ 7(7) ไม่ได้บอกว่าเมื่อถือใบสั่งแพทย์มาซื้อยาที่ร้านขายยา แล้วเภสัชกรต้องเก็บใบสั่งยาไว้ตรวจสอบด้วยหรือไม่ อาจทำให้ประชาชนถือใบสั่งแพทย์ใบหนึ่งเพื่อมาซื้อยาควบคุมพิเศษแล้วใช้ใบสั่งแพทย์นั้นซ้ำได้ (คล้ายกับบอกว่าให้ผู้รับอนุญาตไปควบคุมเภสัชกรผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการกันเอง ถ้าผู้ผู้รับอนุญาตเป็นคนเดียวกับเภสัชกรก็ไม่มีปัญหา) แต่ฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน พ.ศ. 2556 ได้กำหนดไว้แล้ว คือ เก็บใบสั่งยาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีนับแต่วันขาย

แต่ในทางปฏิบัติ ใบสั่งแพทย์นี้ไม่จำเป็นต้องมีแค่รายการยาควบคุมพิเศษแต่เพียงอย่างเดียว แต่อาจมีรายการยาอื่นด้วยก็ได้ซึ่งโดยปกติยาเหล่านี้ไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ และร้านยาเองก็อาจไม่ได้มียาตามที่ต้องการในใบสั่งแพทย์ทุกรายการ ประชาชนก็ขอใบสั่งแพทย์คืนไปเพื่อไปหาร้านอื่นต่อไป


กรณีของร้านยาคุณภาพก็อาจมีการสร้างมาตรฐานนี้ขึ้นมาโดยเก็บใบสั่งแพทย์ฉบับจริงไว้ หรืออย่างน้อยต้องขอสำเนาใบสั่งแพทย์เพื่อใช้ประโยชน์ในการตรวจสอบเทียบจำนวน

เภสัชกรขายยาควบคุมพิเศษโดยไม่มีใบสั่งแพทย์ และไม่เข้าเงื่อนไขขายยาควบคุมพิเศษได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 1,000 - 5,000 บาท ตามมาตรา 109



นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงการตรวจสอบว่าใบสั่งแพทย์นั้นเป็นจริงหรือไม่  เพราะเดี๋ยวนี้เว็บไซต์ของแพทยสภาเช็คยากมากต้องกรอกทั้งชื่อและนามสกุลแพทย์พร้อมกัน ไม่มีให้กรอกเลขที่ใบประกอบวิชาชีพของแพทย์ แล้วลายมือแพทย์ในใบสั่งยานั้นอ่านกันได้ง่ายซะที่ไหน?

**********
ประวัติการแก้ไข
- เริ่มเขียนหน้านี้เมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2555
- แก้ไข 18 กรกฎาคม พ.ศ.2556 เวลา 14.34 น. 
- ปรับปรุงล่าสุด 30 มิถุนายน 2557 แก้ไขข้อมูลกฎกระทรวงให้เป็นปัจจุบัน คือ กฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน พ.ศ. 2556   

**********
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
บัญชียาสำหรับร้านขายยาแผนปัจจุบัน. http://rparun.blogspot.com/2013/07/listofdrugsboughtorsold.html
วิเคราะห์กฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน พ.ศ. 2556. http://rparun.blogspot.com/2014/03/ministerialregulation25561227-license.html