ความรู้ภาษีเบื้องต้นสำหรับร้านยา
ภก.ปรุฬห์
รุจนธำรงค์
รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับบัญญัติให้บุคคลมีหน้าที่เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ
แต่จะเสียภาษีอย่างไร เสียจำนวนเท่าใดนั้น
ก็ต้องรู้เบื้องต้นว่าภาษีที่เสียนั้นมีอะไรบ้าง ซึ่งก็จะทำให้ช่วยกำหนดทิศทางของการประกอบกิจการได้
ช่วยทำให้เสียภาษีอย่างถูกต้องตามที่กฎหมายได้กำหนดแนวทางไว้ให้ ไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทำให้เกิดค่าใช้จ่ายของการประกอบกิจการโดยไม่จำเป็น
และยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของผู้ประกอบการด้วย
ภาษีที่จะกล่าวถึงในที่นี้
ประกอบด้วย ภาษีเงินได้ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีธุรกิจเฉพาะ
อากรแสตมป์ และอื่น ๆ ดังนี้
1. ภาษีเงินได้
ภาษีนี้จะจัดเก็บจากผู้มีเงินได้
ซึ่งมีทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล
ส่วนร้านขายยาจะต้องเสียภาษีรูปแบบใดนั้น อาจพิจารณาตั้งแต่ตอนเริ่มต้นขอรับใบอนุญาตขายยาขอในนามบุคคลธรรมดาหรือขอในนามนิติบุคคลซึ่งก็จะมีผลต่อการคิดภาษีเงินได้ตามมาด้วย
สมมติว่าร้านยามีรายได้จากการขายสินค้าในร้านเพียงอย่างเดียว
(เป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8))
ซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ถึงร้อยละ 80 หากร้านยาเป็นบุคคลธรรมดาจะคิดภาษีตามเงินได้สุทธิ
ส่วนร้านยาที่เป็นนิติบุคคลจะคิดภาษีตามกำไรสุทธิ ที่เหลือก็เป็นเรื่องของการวางแผนภาษีซึ่งทำให้จำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีลดลงได้จะไม่กล่าวรายละเอียดในที่นี้
ตัวอย่างการเสียภาษีเงินได้โดยประมาณ ตามตารางที่ 1 โดยมีรอบการยื่นภาษีและแบบยื่นภาษี
ตามตารางที่ 2
ตารางที่
1
ยอดขายต่อปีและอัตราภาษีที่ต้องจ่าย
รายการ
|
ร้านยาบุคคลธรรมดา[1]
|
ร้านยานิติบุคคล[2]
|
ยอดขายต่อปี
1,500,000
บาท
|
(1)
ถ้ากำไรสุทธิไม่เกิน 3 แสนบาท ไม่เสียภาษี
(2)
ถ้ากำไรสุทธิ 4 แสนบาท เสียภาษี 10,000
บาท
(3)
ถ้ากำไรสุทธิ 5 แสนบาท เสียภาษี 20,000
บาท
|
|
ยอดขายต่อปี
2,000,000
บาท
|
เสียภาษี
14,500
บาท
|
|
ยอดขายต่อปี
3,000,000
บาท
|
เสียภาษี
38,000
บาท
|
จากตารางที่
1
หากร้านยาขาดทุนหรือมีกำไรสุทธิไม่เกิน 300,000 บาท ร้านยาที่เป็นนิติบุคคลจะได้เปรียบเนื่องจากไม่ต้องเสียภาษี และสามารถนำผลการขาดทุนภายใน
5 ปีมาหักค่าใช้จ่ายภาษีได้ ส่วนร้านยาบุคคลธรรมดายังต้องเสียภาษี
7,500 บาท แต่การเลือกเป็นร้านยานิติบุคคลก็อาจมีภาระเรื่องบัญชีตามประมวลรัษฎากร
เช่น การทำบัญชีงบดุล บัญชีทำการ บัญชีกำไรขาดทุน[4]
และการทำบัญชีตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ.2543
ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการทำบัญชีด้วย
สำหรับการทำบัญชีของร้านยาบุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
และมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมิน
ตามมาตรา 40 (5) (6) (7) และ (8)
แห่งประมวลรัษฎากร จัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายเป็นประจำวัน ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้
(ฉบับที่ 161) เรื่อง
กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
และมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
จัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย ดังรูปที่ 1 ซึ่งเป็นบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายเป็นประจำวัน
รูปที่ 1 จัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายเป็นประจำวัน
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 161)
เรื่อง กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
และมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
จัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย
ตารางที่
2
รอบการยื่นภาษีและแบบยื่นภาษี
ประเภท
|
ภาษีครึ่งปี
|
ภาษีเงินได้ประจำปี
|
ร้านยาบุคคลธรรมดา[5]
|
ภ.ง.ด.94
กรกฎาคม -
กันยายน ของปีภาษีนั้น
|
ภ.ง.ด.90
มกราคม -
มีนาคม ของปีภาษีถัดไป
|
ร้านยานิติบุคคล[6]
|
ภ.ง.ด.51
ภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของทุก 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี
|
ภ.ง.ด.50
ภายใน 150 วันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
|
2. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ภาษีชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการจ่ายเงินได้
และกฎหมายกำหนดให้ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่หักเงินไว้จำนวนหนึ่งแล้วนำส่งภาษีนั้นแก่รัฐ
อัตราภาษีที่ต้องหักขึ้นกับว่าผู้รับเงินนั้นคือใคร (หรือจ่ายเงินให้กับใคร)
และเงินที่จ่ายนั้นเป็นค่าอะไร ถ้ากฎหมายไม่กำหนดให้หัก ณ ที่จ่าย
ผู้จ่ายเงินได้ก็ไม่มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งมีรายการจำนวนมาก
(โปรดดูข้อมูลจากเว็บไซต์กรมสรรพากร) โดยมีตัวอย่างกรณีที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
ตามตารางที่ 3
เมื่อมีการหักเงิน ณ ที่จ่าย ก็จะมี “หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย” เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันการเสียภาษี
ลดภาระการเสียภาษีตอนสิ้นปี ตลอดจนสามารถขอคืนภาษีได้
กรณีที่ต้องหักภาษี
ณ ที่จ่าย
|
ผู้จ่ายเงิน
ที่มีหน้าที่หักภาษี
ณ ที่จ่าย
|
แบบรายการ
|
อัตราการหักภาษี
ณ ที่จ่าย
|
|
การจ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้าง
|
ผู้จ่ายเงินทุกราย
|
บุคคลธรรมดา
|
ภ.ง.ด.1
|
คำนวณจากเงินได้พึงประเมินที่คาดว่าได้รับทั้งปี
หักด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน เหลือเป็นเงินได้สุทธิ
และนำไปคำนวณภาษีตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
จะได้ภาษีที่ต้องชำระทั้งปี หารด้วยจำนวนครั้งที่จ่าย
จะได้จำนวนภาษีที่ต้องหักแต่ละครั้ง
|
จ้างผู้สอบบัญชี
|
บริษัท
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
นิติบุคคลอื่น
|
บุคคลธรรมดา
|
ภ.ง.ด.3
|
3%
|
นิติบุคคล
|
ภ.ง.ด.53
|
3%
|
||
ค่าเช่าอาคาร
|
บริษัท
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
นิติบุคคลอื่น
|
บุคคลธรรมดา
|
ภ.ง.ด.3
|
5%
|
บริษัท
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
|
ภ.ง.ด.53
|
5%
|
||
มูลนิธิ สมาคม
ที่ประกอบการซึ่งมีรายได้ แต่ไม่ใช่มูลนิธิตามประมวลรัษฎากร มาตรา 47(7)
|
ภ.ง.ด.53
|
5%
|
||
จ้างทำของ
การรับเหมาที่ลงทุนจัดหาสัมภาระเอง
|
บริษัท
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
นิติบุคคลอื่น
|
บุคคลธรรมดา
|
ภ.ง.ด.3
|
3%
|
บริษัท
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ที่ตั้งขั้นตามกฎหมายไทย
|
ภ.ง.ด.53
|
3%
|
||
ค่าโฆษณา
|
บริษัท
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
นิติบุคคลอื่น
|
บุคคลธรรมดา
|
ภ.ง.ด.3
|
2%
|
นิติบุคคล
|
ภ.ง.ด.53
|
2%
|
||
ค่าขนส่งที่มิใช่ขนส่งสาธารณะ
|
บริษัท
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
นิติบุคคลอื่น
|
บุคคลธรรมดา
|
ภ.ง.ด.3
|
1%
|
นิติบุคคล
|
ภ.ง.ด.53
|
1%
|
ทั้งนี้
ให้นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภายในวันที่ 1-7 ของเดือนถัดไปจากเดือนที่จ่ายเงินได้[9]
ส่วนกรณีเมื่อสิ้นปีภาษี ถ้าเป็น ภ.ง.ด.1
ยื่นแบบสรุป ภ.ง.ด.1 ก ภายในกุมภาพันธ์ปีถัดไป ถ้าเป็น ภ.ง.ด.3 ยื่นแบบสรุป
ภ.ง.ด.3 ก ภายในเดือนมกราคมปีถัดไป
3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
(Value
added tax หรือ VAT) เป็นภาษีที่เก็บจากผู้ขายสินค้าในประเทศ
การให้บริการในประเทศ และการ นำเข้าสินค้า
ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพเป็นปกติธุระ
ไม่ว่าจะประกอบกิจการในรูปของบุคคลธรรมดา
คณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล หรือนิติบุคคลใด ๆ
หากมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.8
ล้านบาทต่อปี
มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน
โดยคำนวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อในแต่ละเดือนภาษี[10]
หากมีรายได้
1,800,000
บาท จะถูกบังคับให้เข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม[11] หรือถ้าไม่ถึงแต่จะเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มก็ได้[12] ซึ่งปัจจุบันอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มใช้อัตรา
7%
ปัจจุบัน การให้บริการรักษาพยาบาลของสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล
ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม[13] การให้บริการการประกอบโรคศิลปะ
ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม[14] การขายยาหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์
เพื่อบำรุง รักษา ป้องกัน ทำลาย หรือกำจัดศัตรูหรือโรคของพืชและสัตว์
ก็ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม[15]
แต่การให้บริการของร้านยา
การขายยาสำหรับมนุษย์ ยังไม่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
สิ่งที่จะตามมาเมื่อเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น
- การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ
- ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม
ดังต่อไปนี้ คือ (1) รายงานภาษีขาย (2)
รายงานภาษีซื้อ (3) รายงานสินค้าและวัตถุดิบ
เฉพาะผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ประกอบกิจการขายสินค้า[16]
- ต้องจัดทำใบกำกับภาษี
และสำเนาใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือให้บริการทุกครั้ง
และต้องจัดทำทันทีที่ความรับผิดในภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น[17]
-
ส่งมอบใบกำกับภาษีให้ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ กรณีการขายปลีกหรือประกอบกิจการให้บริการในลักษณะบริการรายย่อยแก่บุคคลจำนวนมาก
สามารถออกใบกำกับภาษีอย่างย่อได้[18]
- ใบกำกับภาษีจะต้องเป็นไปตามรูปแบบที่กำหนด
มิฉะนั้นจะไม่สามารถนำไปหักภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้[19]
ตรงนี้จะมีระบบคอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ตลอดจนการพิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
เช่น “ชื่อ ที่อยู่
และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ออกใบกำกับภาษี”
ตามมาตรา 86/4 (2)
แห่งประมวลรัษฎากร มิได้ตีพิมพ์จากโรงพิมพ์ รายการตามมาตรา 86/4
ของใบกำกับภาษีจะต้องจัดทำขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด
จึงจะนำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าวไปหักออกจากภาษีขายได้
หากรายการใดรายการหนึ่งมิได้จัดทำโดยระบบคอมพิวเตอร์
ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าวถือเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามข้อ 2(5)(12) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42)ฯ ลงวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2535[20]
- ผู้ประกอบการที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มห้ามออกใบกำกับภาษี[21]
เพราะจะมีบางกิจกรรมที่รัฐบาลต้องการสนับสนุนหรือต้องการให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
โดยจูงใจให้ผู้ซื้อใช้ใบกำกับภาษีจากผู้ประกอบการมาเป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษี
เช่น ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- เก็บและรักษารายงานใบกำกับภาษี
สำเนาใบกำกับภาษี เอกสารประกอบการลงรายงาน
ตลอดจนเอกสารอื่นตามที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือวันทำรายงาน[22]
- การยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม
ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม
(ภ.พ.30) ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
ส่วน ภ.พ.36
ใช้สำหรับผู้จ่ายเงินซึ่งจ่ายเงินซื้อค่าสินค้าหรือค่าบริการให้แก่
(ก)
ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรซึ่งได้เข้ามาประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
และไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราว (ข) ผู้ประกอบการที่ให้บริการในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร
(ค) ผู้ประอบการอื่นตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา (ปัจจุบันยังไม่กำหนด)
โดยนำส่งเงินภาษีภายใน 7 วันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินให้ผู้ประกอบการ
- ถ้าภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย
สามารถขอคืนภาษีได้หรือเก็บไว้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนถัดไป (หักกลบในเดือนต่อไปได้)
แต่ถ้าภาษีซื้อน้อยกว่าภาษีขายก็ต้องเสียภาษีให้กรมสรรพากรเท่ากับส่วนต่าง[23]
4. ภาษีป้าย
ภาษีป้าย
เป็นภาษีที่เก็บจากป้ายแสดงชื่อ ยี่ห้อหรือเครื่องหมายที่ใช้ในการประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือโฆษณาการค้าหรือกิจการอื่นเพื่อหารายได้
ไม่ว่าจะได้แสดงหรือโฆษณาไว้ที่วัตถุใด ๆ ด้วยอักษร ภาพ หรือเครื่องหมายที่เขียน
แกะสลัก จารึกหรือทำให้ปรากฏด้วยวิธีอื่น[24]
ภาษีป้ายจะติดตามขนาดของป้าย
ขั้นต่ำของแต่ละป้ายเริ่มต้นที่ 200 บาท จะคิดอัตราภาษีทุก 500
ตารางเซนติเมตร ถ้ามีเศษเกินกึ่งหนึ่งของ 500 ตารางเซนติเมตร
ให้นับเป็น 500 ตารางเซนติเมตร ถ้าไม่เกินกึ่งหนึ่ง
ให้ปัดทิ้ง
(1)
ป้ายที่มีอักษรไทยล้วน ให้คิดอัตรา 3 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร
(2)
ป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศและหรือปนกับภาพ และหรือเครื่องหมายอื่นให้คิดอัตรา
20 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร
(3)
ป้ายดังต่อไปนี้ให้คิดอัตรา 40 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร
(ก) ป้ายที่ไม่มีอักษรไทยไม่ว่าจะมีภาพหรือเครื่องหมายใด
ๆ หรือไม่
(ข)
ป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วนหรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ
การออกแบบป้ายร้าน
การติดตั้งป้ายสินค้าหรือบริการตลอดจนป้ายต่าง ๆ ทั้งภายนอกร้าน
ตลอดจนภายในร้านมีความสำคัญต่อการคิดภาษีป้ายด้วย ตัวอย่างเช่น
- ป้ายชื่อร้านต้องคิดภาษีป้าย
- ป้ายโฆษณาก็คิดภาษีป้ายได้
- ป้ายแสดงชื่อ ยี่ห้อ
หรือเครื่องหมายที่มีลักษณะทั่วไป ก็ถือเป็นป้ายที่ต้องเสียภาษี
เคยมีกรณีป้ายระบุว่า “สำนักงานแพทย์ สิว ฝ้า โรคผิวหนัง และโรคทั่วไป”[25]
ถ้าหากเป็นกรณีของร้านยา ป้ายที่ระบุว่า “ขายยาโดยเภสัชกร”
ก็อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีป้ายเช่นกัน
- ข้อความภาษาไทย
หรือภาษาต่างประเทศ
ตำแหน่งของข้อความภาษาไทยอยู่ตรงไหนของป้ายเมื่อเทียบกับข้อความภาษาต่างประเทศ[26]
- ป้ายติดในร้าน
แต่บุคคลภายนอกร้านมองเห็น ก็คิดภาษีป้าย[27]
- ป้ายที่แสดงไว้ภายในอาคารที่ใช้ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นหรือภายในอาคารซึ่งเป็นที่รโหฐาน
ทั้งนี้ เพื่อหารายได้ ถ้าแต่ละป้ายไม่เกิน 3 ตารางเมตรไม่คิดภาษีป้าย[28]
- ป้ายหน้าร้านมองเห็นได้ทั้ง
2 ด้าน ก็คิดราคาเท่ากับมีป้ายนั้น 2 ป้าย[29]
- ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สามารถหาตัวเจ้าของป้ายได้
ให้ถือว่าผู้ครอบครองป้ายนั้นเป็นผู้เสียภาษีป้าย[30]
การชำระภาษีป้าย
โปรดติดต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของท่านที่ป้ายนั้นตั้งอยู่ โดยชำระภาษีป้ายภายในเดือนมีนาคมของทุกปี[31] กรณีเจ้าของป้ายติดตั้งหรือแสดงป้ายอันต้องเสียภาษีภายหลังเดือนมีนาคม ติดตั้งหรือแสดงป้ายใหม่แทนป้ายเดิมและมีพื้นที่
ข้อความ ภาพ และเครื่องหมายอย่างเดียวกับป้ายเดิมที่ได้เสียภาษีป้ายแล้ว หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขพื้นที่ป้าย
ข้อความ ภาพ หรือเครื่องหมายบางส่วนในป้ายที่ได้เสียภาษีป้ายแล้ว
อันเป็นเหตุให้ต้องเสียภาษีป้ายเพิ่มขึ้น ให้เจ้าของป้ายยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน
15 วันนับแต่วันที่ติดตั้งหรือแสดงป้าย
หรือนับแต่วันเปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อความ ภาพ หรือเครื่องหมายในป้ายเดิม แล้วแต่กรณี[32]
5. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน
ภาษีบำรุงท้องที่
ภาษีโรงเรือนและที่ดิน กรณีที่มีโรงเรือน
อาคาร ที่ดิน และมีรายได้จากการให้เช่า
ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินในอัตราร้อยละ 12.5 ของค่ารายปี (“ค่ารายปี”
หมายความว่า จำนวนเงินซึ่งทรัพย์สินนั้นสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ)[33]
ตามแบบ ภ.ร.ด. 2 โดยชำระที่สำนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งทรัพย์สินนั้นตั้งอยู่
ภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี[34]
ภาษีบำรุงท้องที่
เป็นภาษีที่เก็บจากเจ้าของที่ดิน ซึ่งเป็นบุคคลหรือคณะบุคคลไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล
ซึ่งมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน หรือครอบครองอยู่ในที่ดินที่ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน โดยที่ดินในที่นี้
หมายความว่า พื้นที่ดิน และให้หมายความรวมถึงพื้นที่ที่เป็นภูเขาหรือที่มีน้ำด้วย
การเสียภาษีบำรุงท้องที่จะยื่นแบบ ภ.บ.ท.5 ภายในเดือนมกราคมของปีแรกที่มีการตีราคาปานกลาง
แบบแสดงรายการนี้ให้ใช้ได้ทุกปีในรอบระยะเวลา 4 ปี และผู้มีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่จะต้องชำระภาษีบำรุงท้องที่ภายในเดือนเมษายนของทุกปี
โดยชำระที่สำนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ที่ดินนั้นตั้งอยู่[35]
ในขณะนี้มีร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ....
ซึ่งจะยกเลิกพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 และพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ.2508 ซึ่งจะมีการกำหนดอัตราภาษีตามลักษณะการใช้ประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
โดยเก็บตามลักษณะการใช้ประโยชน์จริง เช่น อาคาร 2 ชั้น
ชั้นบนเป็นที่พักอาศัย ส่วนชั้นล่างเป็นร้านค้า จะคิดอัตราภาษีแยกกัน
รายละเอียดของกฎหมายฉบับนี้จะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป
6. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
ภาษีธุรกิจเฉพาะ
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/2
ใช้เฉพาะกับบางธุรกิจเท่านั้น ซึ่งเป็นธุรกิจการธนาคาร
การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ การรับประกันชีวิต
การรับจำนำ การประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์
การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร การขายหลักทรัพย์
ตลอดจนการประกอบกิจการอื่นตามที่กำหนด โดยใช้แบบ ภ.ธ.40 ในการยื่นภาษีภายในวันที่
15 ของเดือนถัดไป ณ
สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาในท้องที่ทีสถานประกอบการนั้นตั้งอยู่
กรณีการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรให้ยื่น ภ.ธ.40 พร้อมกับชำระภาษีในขณะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมนั้น
โดยหลักแล้วร้านยาจะไม่อยู่ในธุรกิจชนิดนี้
จึงไม่มีภาษีธุรกิจเฉพาะ เว้นเสียแต่ว่าเป็นการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์
เช่น การให้กู้ยืมเงิน ก็อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะได้
7. อากรแสตมป์
อากรแสตมป์
เป็นภาษีที่เก็บจากการทำตราสาร ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ตามประมวลรัษฎากร
ปัจจุบันมี 28
ลักษณะ บัญชีอัตราอากรแสตมป์จะระบุถึงลักษณะแห่งตราสาร
ค่าอากรแสตมป์ ผู้ที่ต้องเสียภาษีอากร ผู้ที่ต้องขีดข่าแสตมป์
ตัวอย่าง การเช่าที่ดิน โรงเรือน
สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น เสียค่าอากรแสตมป์ 1 บาท ทุกจำนวนเงิน 1,000
บาท หรือเศษของ 1,000 บาท
แห่งค่าเช่าหรือเงินกินเปล่า หรือทั้งสองอย่างรวมกันตลอดอายุการเช่า
โดยผู้ให้เช่าเป็นผู้ที่ต้องเสียภาษีอากร ผู้เช่าเป็นผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์
ความสำคัญของอากรแสตมป์อยู่ตรงที่
ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก
หรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้
จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีอัตราอากรแสตมป์
และขีดฆ่าแล้ว ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 แต่ทั้งนี้
ไม่เป็นการเสื่อมสิทธิที่จะเรียกเงินเพิ่มอากรตามประมวลรัษฎากรมาตรา 113 และมาตรา 114
8. ภาษีอื่น ๆ
ภาษีสรรพสามิต
เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้า (สิ่งซึ่งผลิตหรือนำเข้าและระบุไว้ในกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต)
และบริการ (การให้บริการในทางธุรกิจในสถานบริการตามที่ระบุไว้ในกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
เช่น การประกอบกิจการในด้านบันเทิงหรือหย่อนใจต่าง ๆ
ในสถานบริการเพื่อหารายได้เป็นธุรกิจ เช่น สถานมหรสพ สถานที่ฉายภาพยนตร์ ไนท์คลับ คาบาเรต์
ดิสโกเธค เป็นต้น)
ภาษีศุลกากร เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากสิ่งของที่นำเข้ามาหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร
ร้านยาโดยปกติแล้วแล้วไม่ได้อยู่ในฐานะผลิต
นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร หรือส่งออกสินค้าไปนอกราชอาณาจักร
จึงไม่ขอกล่าวถึงภาษีทั้งคู่ในที่นี้
เอกสารอ้างอิง
ประมวลรัษฎากร
พระราชบัญญัติภาษีป้าย
พ.ศ.2510
พระราชบัญญัติภาษีป้าย
พ.ศ.2510
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน
พุทธศักราช 2475
กรมสรรพากร.
ผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอย่างไร
และเมื่อใด? สืบค้นจาก http://www.rd.go.th/publish/558.0.html (ปรับปรุงล่าสุด 9 พฤษภาคม 2559)
กรมสรรพากร.
ภาษีเงินได้นิติบุคคล:
การยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี. สืบค้นจาก http://www.rd.go.th/publish/840.0.html (ปรับปรุงล่าสุด 10 พฤษภาคม 2559)
กรมสรรพากร. สรุปภาษีเงินได้หัก
ณ ที่จ่าย:
ผู้รับเงินได้. สืบค้นจาก http://www.rd.go.th/publish/38062.0.html (ปรับปรุงล่าสุด 16 พฤษภาคม 2559)
กรมสรรพากร. ประเภทภาษี. สืบค้นจาก http://www.rd.go.th/publish/38055.0.html (ปรับปรุงล่าสุด 16 พฤษภาคม 2559)
ไทยพับลิก้า.
จากร้านทองถึงร้านขายยา สรรพากรแจ้ง 20,000 ราย เข้าระบบTax
e-Payment เครื่องมือตรวจเส้นทางการเงินผู้เสียภาษี. สืบค้นจาก http://thaipublica.org/2016/07/tax-e-payment-3/ (1 กรกฎาคม 2559)
[1] จำนวนภาษีเปลี่ยนแปลงได้ตามนโยบายของรัฐบาล เช่น
จำนวนค่าใช้จ่ายที่สามารถหักได้ จำนวนส่วนลดหย่อน ตลอดจนโครงสร้างอัตราภาษี ในปี
พ.ศ.2560 ก็ต้องคิดใหม่เนื่องจากมีการเพิ่มค่าใช้จ่ายที่สามารถหักได้
และเพิ่มค่าลดหย่อนส่วนตัว
[2] อัตรานี้คำนวณโดยใช้อัตราภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 603) พ.ศ. 2559
(ประกาศในราชกิจจานุเบกษา 21 เมษายน พ.ศ.2559)
สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน
5 ล้านบาท
และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท และใช้เฉพาะรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 31 ธันวาคม
พ.ศ.2559
[3] วิธีคิดนี้มาจากการนำยอดขาย หักด้วยค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาร้อยละ 80
หักค่าลดหย่อนส่วนบุคคล
เงินได้สุทธิที่เหลือนำไปคิดภาษี (ดู “จากร้านทองถึงร้านขายยา สรรพากรแจ้ง 20,000 ราย เข้าระบบ Tax e-Payment เครื่องมือตรวจเส้นทางการเงินผู้เสียภาษี”)
[4] ประมวลรัษฎากร มาตรา 68 ทวิ
[5] กรมสรรพากร,
ผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอย่างไร และเมื่อใด?, สืบค้นจาก http://www.rd.go.th/publish/558.0.html
[6] กรมสรรพากร, ภาษีเงินได้นิติบุคคล: การยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี,
สืบค้นจาก http://www.rd.go.th/publish/840.0.html
[7] กรมสรรพากร, สรุปภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย: ผู้รับเงินได้,
สืบค้นจาก http://www.rd.go.th/publish/38062.0.html
[8] บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ในที่นี้หมายถึง ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
และผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามลำดับ
[9] ประมวลรัษฎากร มาตรา 52 ประกอบประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย การนำส่งภาษีเงินได้
การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม และการยื่นรายการ (ประกาศ ณ วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2544)
[11] ประมวลรัษฎากร มาตรา 81/1 ประกอบพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการกำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม
ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 432) พ.ศ. 2548
[12] ประมวลรัษฎากร มาตรา 81/3
[13] ประมวลรัษฎากร มาตรา 81 (1)(ญ)
[14] ประมวลรัษฎากร มาตรา 81 (1)(ฌ)
[15] ประมวลรัษฎากร มาตรา 81 (1)(จ)
[16] ประมวลรัษฎากร มาตรา 87
[17] ประมวลรัษฎากร มาตรา 86
[18] ประมวลรัษฎากร มาตรา 86/6
[19] ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) เรื่อง
การกำหนดภาษีซื้อที่ไม่ให้นำไปหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร
[20] หนังสือข้อหารือภาษีอากร กค 0811/พ.6195 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2543
[21] ประมวลรัษฎากร มาตรา 86/13
[22] ประมวลรัษฎากร มาตรา 87/3
[23] ประมวลรัษฎากร มาตรา 82/3
[24] พระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510
[25] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 995/2531
[26] “ป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วนหรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ"
ย่อมแสดงให้เห็นว่าป้ายที่แม้มีเพียงบางส่วนของอักษรไทยอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศก็ถือเป็นป้ายตามบัญชีอัตราภาษีป้าย
(3) (ข)
โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีอักษรไทยอยู่ที่ส่วนใดของป้ายอีกหรือไม่
(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18437/2555)
[27] ยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้ายเฉพาะป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือภายในอาคารอันเป็นที่รโหฐานเท่านั้นกล่าวคือต้องเป็นป้ายที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกของสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือจากภายนอกอาคาร
(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2539)
[28] พระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 มาตรา 8(5) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 8
(พ.ศ.2542) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510
[29] ดูคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1265/2519
[30] พระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 มาตรา 18
[31] พระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 มาตรา 12
[32] พระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 มาตรา 14
[33] พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 8
[34] พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 19
[35] พระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ.2508 มาตรา 35