ความรู้ภาษีเบื้องต้นสำหรับร้านยา
ภก.ปรุฬห์
รุจนธำรงค์
          รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับบัญญัติให้บุคคลมีหน้าที่เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ
แต่จะเสียภาษีอย่างไร เสียจำนวนเท่าใดนั้น
ก็ต้องรู้เบื้องต้นว่าภาษีที่เสียนั้นมีอะไรบ้าง ซึ่งก็จะทำให้ช่วยกำหนดทิศทางของการประกอบกิจการได้
ช่วยทำให้เสียภาษีอย่างถูกต้องตามที่กฎหมายได้กำหนดแนวทางไว้ให้ ไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทำให้เกิดค่าใช้จ่ายของการประกอบกิจการโดยไม่จำเป็น
และยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของผู้ประกอบการด้วย 
          ภาษีที่จะกล่าวถึงในที่นี้
ประกอบด้วย ภาษีเงินได้  ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีธุรกิจเฉพาะ
อากรแสตมป์ และอื่น ๆ ดังนี้
1. ภาษีเงินได้ 
          ภาษีนี้จะจัดเก็บจากผู้มีเงินได้
ซึ่งมีทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล
ส่วนร้านขายยาจะต้องเสียภาษีรูปแบบใดนั้น อาจพิจารณาตั้งแต่ตอนเริ่มต้นขอรับใบอนุญาตขายยาขอในนามบุคคลธรรมดาหรือขอในนามนิติบุคคลซึ่งก็จะมีผลต่อการคิดภาษีเงินได้ตามมาด้วย  
          สมมติว่าร้านยามีรายได้จากการขายสินค้าในร้านเพียงอย่างเดียว
(เป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8))
ซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ถึงร้อยละ 80 หากร้านยาเป็นบุคคลธรรมดาจะคิดภาษีตามเงินได้สุทธิ
ส่วนร้านยาที่เป็นนิติบุคคลจะคิดภาษีตามกำไรสุทธิ ที่เหลือก็เป็นเรื่องของการวางแผนภาษีซึ่งทำให้จำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีลดลงได้จะไม่กล่าวรายละเอียดในที่นี้
ตัวอย่างการเสียภาษีเงินได้โดยประมาณ ตามตารางที่ 1 โดยมีรอบการยื่นภาษีและแบบยื่นภาษี
ตามตารางที่ 2      
ตารางที่
1
ยอดขายต่อปีและอัตราภาษีที่ต้องจ่าย
 
   | 
รายการ |  |  | 
 
  | 
ยอดขายต่อปี
  1,500,000
  บาท |  | 
(1)
  ถ้ากำไรสุทธิไม่เกิน 3 แสนบาท ไม่เสียภาษี 
(2)
  ถ้ากำไรสุทธิ 4 แสนบาท เสียภาษี 10,000
  บาท  
(3)
  ถ้ากำไรสุทธิ 5 แสนบาท เสียภาษี 20,000
  บาท | 
  | 
ยอดขายต่อปี
  2,000,000
  บาท | 
เสียภาษี
  14,500
  บาท | 
  | 
ยอดขายต่อปี
  3,000,000
  บาท | 
เสียภาษี
  38,000
  บาท | 
          จากตารางที่
1
หากร้านยาขาดทุนหรือมีกำไรสุทธิไม่เกิน 300,000 บาท ร้านยาที่เป็นนิติบุคคลจะได้เปรียบเนื่องจากไม่ต้องเสียภาษี และสามารถนำผลการขาดทุนภายใน
5 ปีมาหักค่าใช้จ่ายภาษีได้ ส่วนร้านยาบุคคลธรรมดายังต้องเสียภาษี
7,500 บาท แต่การเลือกเป็นร้านยานิติบุคคลก็อาจมีภาระเรื่องบัญชีตามประมวลรัษฎากร
เช่น การทำบัญชีงบดุล บัญชีทำการ บัญชีกำไรขาดทุน
และการทำบัญชีตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ.2543
ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการทำบัญชีด้วย 
          สำหรับการทำบัญชีของร้านยาบุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
และมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมิน
ตามมาตรา 40 (5) (6) (7) และ (8)
แห่งประมวลรัษฎากร จัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายเป็นประจำวัน ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้
(ฉบับที่ 161) เรื่อง
กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
และมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
จัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย ดังรูปที่ 1 ซึ่งเป็นบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายเป็นประจำวัน
          รูปที่ 1 จัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายเป็นประจำวัน
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 161)
เรื่อง กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
และมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
จัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย
ตารางที่
2
รอบการยื่นภาษีและแบบยื่นภาษี    
 
   | 
ประเภท | 
ภาษีครึ่งปี | 
ภาษีเงินได้ประจำปี | 
 
  |  | 
ภ.ง.ด.94 
กรกฎาคม -
  กันยายน ของปีภาษีนั้น | 
ภ.ง.ด.90 
มกราคม -
  มีนาคม ของปีภาษีถัดไป | 
  |  | 
ภ.ง.ด.51 
ภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของทุก 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี | 
ภ.ง.ด.50 
ภายใน 150 วันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี | 
          
2. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 
          ภาษีชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการจ่ายเงินได้
และกฎหมายกำหนดให้ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่หักเงินไว้จำนวนหนึ่งแล้วนำส่งภาษีนั้นแก่รัฐ
อัตราภาษีที่ต้องหักขึ้นกับว่าผู้รับเงินนั้นคือใคร (หรือจ่ายเงินให้กับใคร)
และเงินที่จ่ายนั้นเป็นค่าอะไร ถ้ากฎหมายไม่กำหนดให้หัก ณ ที่จ่าย
ผู้จ่ายเงินได้ก็ไม่มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งมีรายการจำนวนมาก
(โปรดดูข้อมูลจากเว็บไซต์กรมสรรพากร) โดยมีตัวอย่างกรณีที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
ตามตารางที่ 3
          เมื่อมีการหักเงิน ณ ที่จ่าย ก็จะมี “หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย” เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันการเสียภาษี
ลดภาระการเสียภาษีตอนสิ้นปี ตลอดจนสามารถขอคืนภาษีได้ 
 
ตารางที่
3
ตัวอย่างกรณีที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย  
 
   | 
กรณีที่ต้องหักภาษี
   ณ ที่จ่าย | 
ผู้จ่ายเงิน 
ที่มีหน้าที่หักภาษี
   ณ ที่จ่าย |  | 
แบบรายการ | 
อัตราการหักภาษี
   ณ ที่จ่าย | 
 
  | 
การจ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้าง | 
ผู้จ่ายเงินทุกราย | 
บุคคลธรรมดา | 
ภ.ง.ด.1 | 
คำนวณจากเงินได้พึงประเมินที่คาดว่าได้รับทั้งปี
  หักด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน เหลือเป็นเงินได้สุทธิ
  และนำไปคำนวณภาษีตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
  จะได้ภาษีที่ต้องชำระทั้งปี หารด้วยจำนวนครั้งที่จ่าย
  จะได้จำนวนภาษีที่ต้องหักแต่ละครั้ง | 
  | 
จ้างผู้สอบบัญชี | 
บริษัท  
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  
นิติบุคคลอื่น | 
บุคคลธรรมดา | 
ภ.ง.ด.3 | 
3% | 
  | 
นิติบุคคล | 
ภ.ง.ด.53 | 
3% | 
  | 
ค่าเช่าอาคาร | 
บริษัท  
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  
นิติบุคคลอื่น | 
บุคคลธรรมดา | 
ภ.ง.ด.3 | 
5% | 
  | 
บริษัท 
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล | 
ภ.ง.ด.53 | 
5% | 
  | 
มูลนิธิ สมาคม
  ที่ประกอบการซึ่งมีรายได้ แต่ไม่ใช่มูลนิธิตามประมวลรัษฎากร มาตรา 47(7) | 
ภ.ง.ด.53 | 
5% | 
  | 
จ้างทำของ  
การรับเหมาที่ลงทุนจัดหาสัมภาระเอง | 
บริษัท  
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  
นิติบุคคลอื่น | 
บุคคลธรรมดา | 
ภ.ง.ด.3 | 
3% | 
  | 
บริษัท 
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล 
ที่ตั้งขั้นตามกฎหมายไทย | 
ภ.ง.ด.53 | 
3% 
 | 
  | 
ค่าโฆษณา | 
บริษัท  
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  
นิติบุคคลอื่น | 
บุคคลธรรมดา | 
ภ.ง.ด.3 | 
2% | 
  | 
นิติบุคคล | 
ภ.ง.ด.53 | 
2% | 
  | 
ค่าขนส่งที่มิใช่ขนส่งสาธารณะ | 
บริษัท  
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  
นิติบุคคลอื่น | 
บุคคลธรรมดา | 
ภ.ง.ด.3 | 
1% | 
  | 
นิติบุคคล | 
ภ.ง.ด.53 | 
1% | 
          ทั้งนี้
ให้นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภายในวันที่ 1-7 ของเดือนถัดไปจากเดือนที่จ่ายเงินได้
ส่วนกรณีเมื่อสิ้นปีภาษี ถ้าเป็น ภ.ง.ด.1
ยื่นแบบสรุป ภ.ง.ด.1 ก ภายในกุมภาพันธ์ปีถัดไป ถ้าเป็น ภ.ง.ด.3 ยื่นแบบสรุป
ภ.ง.ด.3 ก ภายในเดือนมกราคมปีถัดไป  
          
3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม
          ภาษีมูลค่าเพิ่ม
(Value
added tax หรือ VAT) เป็นภาษีที่เก็บจากผู้ขายสินค้าในประเทศ
การให้บริการในประเทศ และการ นำเข้าสินค้า
ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพเป็นปกติธุระ
ไม่ว่าจะประกอบกิจการในรูปของบุคคลธรรมดา
คณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล หรือนิติบุคคลใด ๆ
หากมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.8
ล้านบาทต่อปี
มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน
โดยคำนวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อในแต่ละเดือนภาษี 
          หากมีรายได้
1,800,000
บาท จะถูกบังคับให้เข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือถ้าไม่ถึงแต่จะเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มก็ได้ ซึ่งปัจจุบันอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มใช้อัตรา
7%  
          ปัจจุบัน การให้บริการรักษาพยาบาลของสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล
ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม การให้บริการการประกอบโรคศิลปะ
ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม การขายยาหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์
เพื่อบำรุง รักษา ป้องกัน ทำลาย หรือกำจัดศัตรูหรือโรคของพืชและสัตว์
ก็ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
แต่การให้บริการของร้านยา 
การขายยาสำหรับมนุษย์ ยังไม่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 
          สิ่งที่จะตามมาเมื่อเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น 
                    - การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ
                    - ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม
ดังต่อไปนี้ คือ (1) รายงานภาษีขาย (2)
รายงานภาษีซื้อ (3) รายงานสินค้าและวัตถุดิบ
เฉพาะผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ประกอบกิจการขายสินค้า
 
                    - ต้องจัดทำใบกำกับภาษี
และสำเนาใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือให้บริการทุกครั้ง
และต้องจัดทำทันทีที่ความรับผิดในภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น 
                   -
ส่งมอบใบกำกับภาษีให้ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ กรณีการขายปลีกหรือประกอบกิจการให้บริการในลักษณะบริการรายย่อยแก่บุคคลจำนวนมาก
สามารถออกใบกำกับภาษีอย่างย่อได้ 
                   - ใบกำกับภาษีจะต้องเป็นไปตามรูปแบบที่กำหนด
มิฉะนั้นจะไม่สามารถนำไปหักภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้
ตรงนี้จะมีระบบคอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ตลอดจนการพิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
เช่น “ชื่อ ที่อยู่
และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ออกใบกำกับภาษี”
ตามมาตรา 86/4 (2)
แห่งประมวลรัษฎากร มิได้ตีพิมพ์จากโรงพิมพ์ รายการตามมาตรา 86/4
ของใบกำกับภาษีจะต้องจัดทำขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด
จึงจะนำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าวไปหักออกจากภาษีขายได้
หากรายการใดรายการหนึ่งมิได้จัดทำโดยระบบคอมพิวเตอร์
ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าวถือเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามข้อ 2(5)(12) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42)ฯ ลงวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2535 
                    - ผู้ประกอบการที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มห้ามออกใบกำกับภาษี
เพราะจะมีบางกิจกรรมที่รัฐบาลต้องการสนับสนุนหรือต้องการให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
โดยจูงใจให้ผู้ซื้อใช้ใบกำกับภาษีจากผู้ประกอบการมาเป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษี
เช่น ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 
                    - เก็บและรักษารายงานใบกำกับภาษี
สำเนาใบกำกับภาษี เอกสารประกอบการลงรายงาน
ตลอดจนเอกสารอื่นตามที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือวันทำรายงาน
 
                   - การยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม
                             ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม
(ภ.พ.30) ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป 
                             ส่วน ภ.พ.36
ใช้สำหรับผู้จ่ายเงินซึ่งจ่ายเงินซื้อค่าสินค้าหรือค่าบริการให้แก่
(ก)
ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรซึ่งได้เข้ามาประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
และไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราว (ข) ผู้ประกอบการที่ให้บริการในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร
(ค) ผู้ประอบการอื่นตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา (ปัจจุบันยังไม่กำหนด)
โดยนำส่งเงินภาษีภายใน 7 วันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินให้ผู้ประกอบการ
                    - ถ้าภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย
สามารถขอคืนภาษีได้หรือเก็บไว้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนถัดไป (หักกลบในเดือนต่อไปได้)
แต่ถ้าภาษีซื้อน้อยกว่าภาษีขายก็ต้องเสียภาษีให้กรมสรรพากรเท่ากับส่วนต่าง 
4. ภาษีป้าย
          ภาษีป้าย
เป็นภาษีที่เก็บจากป้ายแสดงชื่อ ยี่ห้อหรือเครื่องหมายที่ใช้ในการประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือโฆษณาการค้าหรือกิจการอื่นเพื่อหารายได้
ไม่ว่าจะได้แสดงหรือโฆษณาไว้ที่วัตถุใด ๆ ด้วยอักษร ภาพ หรือเครื่องหมายที่เขียน
แกะสลัก จารึกหรือทำให้ปรากฏด้วยวิธีอื่น 
          ภาษีป้ายจะติดตามขนาดของป้าย
ขั้นต่ำของแต่ละป้ายเริ่มต้นที่ 200 บาท จะคิดอัตราภาษีทุก 500
ตารางเซนติเมตร ถ้ามีเศษเกินกึ่งหนึ่งของ 500 ตารางเซนติเมตร
ให้นับเป็น 500 ตารางเซนติเมตร ถ้าไม่เกินกึ่งหนึ่ง
ให้ปัดทิ้ง
                    (1)
ป้ายที่มีอักษรไทยล้วน ให้คิดอัตรา 3 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร
                   (2)
ป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศและหรือปนกับภาพ และหรือเครื่องหมายอื่นให้คิดอัตรา
20 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร
                    (3)
ป้ายดังต่อไปนี้ให้คิดอัตรา 40 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร
                             (ก) ป้ายที่ไม่มีอักษรไทยไม่ว่าจะมีภาพหรือเครื่องหมายใด
ๆ หรือไม่
                             (ข)
ป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วนหรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ
          การออกแบบป้ายร้าน
การติดตั้งป้ายสินค้าหรือบริการตลอดจนป้ายต่าง ๆ ทั้งภายนอกร้าน
ตลอดจนภายในร้านมีความสำคัญต่อการคิดภาษีป้ายด้วย ตัวอย่างเช่น 
                    - ป้ายชื่อร้านต้องคิดภาษีป้าย
                    - ป้ายโฆษณาก็คิดภาษีป้ายได้
                    - ป้ายแสดงชื่อ ยี่ห้อ
หรือเครื่องหมายที่มีลักษณะทั่วไป ก็ถือเป็นป้ายที่ต้องเสียภาษี
เคยมีกรณีป้ายระบุว่า “สำนักงานแพทย์ สิว ฝ้า โรคผิวหนัง และโรคทั่วไป”
ถ้าหากเป็นกรณีของร้านยา ป้ายที่ระบุว่า “ขายยาโดยเภสัชกร”
ก็อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีป้ายเช่นกัน 
                    - ข้อความภาษาไทย
หรือภาษาต่างประเทศ
ตำแหน่งของข้อความภาษาไทยอยู่ตรงไหนของป้ายเมื่อเทียบกับข้อความภาษาต่างประเทศ 
                    - ป้ายติดในร้าน
แต่บุคคลภายนอกร้านมองเห็น ก็คิดภาษีป้าย 
                    - ป้ายที่แสดงไว้ภายในอาคารที่ใช้ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นหรือภายในอาคารซึ่งเป็นที่รโหฐาน
ทั้งนี้ เพื่อหารายได้ ถ้าแต่ละป้ายไม่เกิน 3 ตารางเมตรไม่คิดภาษีป้าย  
                    - ป้ายหน้าร้านมองเห็นได้ทั้ง
2 ด้าน ก็คิดราคาเท่ากับมีป้ายนั้น 2 ป้าย  
                    - ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สามารถหาตัวเจ้าของป้ายได้
ให้ถือว่าผู้ครอบครองป้ายนั้นเป็นผู้เสียภาษีป้าย 
          การชำระภาษีป้าย
โปรดติดต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของท่านที่ป้ายนั้นตั้งอยู่ โดยชำระภาษีป้ายภายในเดือนมีนาคมของทุกปี กรณีเจ้าของป้ายติดตั้งหรือแสดงป้ายอันต้องเสียภาษีภายหลังเดือนมีนาคม ติดตั้งหรือแสดงป้ายใหม่แทนป้ายเดิมและมีพื้นที่
ข้อความ ภาพ และเครื่องหมายอย่างเดียวกับป้ายเดิมที่ได้เสียภาษีป้ายแล้ว หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขพื้นที่ป้าย
ข้อความ ภาพ หรือเครื่องหมายบางส่วนในป้ายที่ได้เสียภาษีป้ายแล้ว
อันเป็นเหตุให้ต้องเสียภาษีป้ายเพิ่มขึ้น ให้เจ้าของป้ายยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน
15 วันนับแต่วันที่ติดตั้งหรือแสดงป้าย
หรือนับแต่วันเปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อความ ภาพ หรือเครื่องหมายในป้ายเดิม แล้วแต่กรณี 
5. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน
ภาษีบำรุงท้องที่
           ภาษีโรงเรือนและที่ดิน กรณีที่มีโรงเรือน
อาคาร ที่ดิน และมีรายได้จากการให้เช่า
ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินในอัตราร้อยละ 12.5 ของค่ารายปี (“ค่ารายปี”
หมายความว่า จำนวนเงินซึ่งทรัพย์สินนั้นสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ)
ตามแบบ ภ.ร.ด. 2 โดยชำระที่สำนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งทรัพย์สินนั้นตั้งอยู่
ภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี 
          ภาษีบำรุงท้องที่
เป็นภาษีที่เก็บจากเจ้าของที่ดิน ซึ่งเป็นบุคคลหรือคณะบุคคลไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล
ซึ่งมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน หรือครอบครองอยู่ในที่ดินที่ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน โดยที่ดินในที่นี้
หมายความว่า พื้นที่ดิน และให้หมายความรวมถึงพื้นที่ที่เป็นภูเขาหรือที่มีน้ำด้วย
การเสียภาษีบำรุงท้องที่จะยื่นแบบ ภ.บ.ท.5 ภายในเดือนมกราคมของปีแรกที่มีการตีราคาปานกลาง
แบบแสดงรายการนี้ให้ใช้ได้ทุกปีในรอบระยะเวลา 4 ปี และผู้มีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่จะต้องชำระภาษีบำรุงท้องที่ภายในเดือนเมษายนของทุกปี
โดยชำระที่สำนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ที่ดินนั้นตั้งอยู่ 
          ในขณะนี้มีร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ....
ซึ่งจะยกเลิกพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 และพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ.2508 ซึ่งจะมีการกำหนดอัตราภาษีตามลักษณะการใช้ประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
โดยเก็บตามลักษณะการใช้ประโยชน์จริง เช่น อาคาร 2 ชั้น
ชั้นบนเป็นที่พักอาศัย ส่วนชั้นล่างเป็นร้านค้า จะคิดอัตราภาษีแยกกัน
รายละเอียดของกฎหมายฉบับนี้จะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป
6. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
          ภาษีธุรกิจเฉพาะ
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/2
ใช้เฉพาะกับบางธุรกิจเท่านั้น ซึ่งเป็นธุรกิจการธนาคาร
การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ การรับประกันชีวิต
การรับจำนำ การประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์
การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร การขายหลักทรัพย์
ตลอดจนการประกอบกิจการอื่นตามที่กำหนด โดยใช้แบบ ภ.ธ.40 ในการยื่นภาษีภายในวันที่
15 ของเดือนถัดไป ณ
สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาในท้องที่ทีสถานประกอบการนั้นตั้งอยู่
กรณีการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรให้ยื่น ภ.ธ.40 พร้อมกับชำระภาษีในขณะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมนั้น    
          โดยหลักแล้วร้านยาจะไม่อยู่ในธุรกิจชนิดนี้
จึงไม่มีภาษีธุรกิจเฉพาะ เว้นเสียแต่ว่าเป็นการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์
เช่น การให้กู้ยืมเงิน ก็อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะได้ 
7. อากรแสตมป์
                อากรแสตมป์
เป็นภาษีที่เก็บจากการทำตราสาร ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ตามประมวลรัษฎากร
ปัจจุบันมี 28
ลักษณะ บัญชีอัตราอากรแสตมป์จะระบุถึงลักษณะแห่งตราสาร
ค่าอากรแสตมป์ ผู้ที่ต้องเสียภาษีอากร ผู้ที่ต้องขีดข่าแสตมป์ 
                    ตัวอย่าง การเช่าที่ดิน โรงเรือน
สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น เสียค่าอากรแสตมป์ 1 บาท ทุกจำนวนเงิน 1,000
บาท หรือเศษของ 1,000 บาท
แห่งค่าเช่าหรือเงินกินเปล่า หรือทั้งสองอย่างรวมกันตลอดอายุการเช่า
โดยผู้ให้เช่าเป็นผู้ที่ต้องเสียภาษีอากร ผู้เช่าเป็นผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์
          ความสำคัญของอากรแสตมป์อยู่ตรงที่
ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก
หรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้
จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีอัตราอากรแสตมป์
และขีดฆ่าแล้ว ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 แต่ทั้งนี้
ไม่เป็นการเสื่อมสิทธิที่จะเรียกเงินเพิ่มอากรตามประมวลรัษฎากรมาตรา 113 และมาตรา 114
8. ภาษีอื่น ๆ
          ภาษีสรรพสามิต
เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้า (สิ่งซึ่งผลิตหรือนำเข้าและระบุไว้ในกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต)
และบริการ (การให้บริการในทางธุรกิจในสถานบริการตามที่ระบุไว้ในกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
เช่น การประกอบกิจการในด้านบันเทิงหรือหย่อนใจต่าง ๆ
ในสถานบริการเพื่อหารายได้เป็นธุรกิจ เช่น สถานมหรสพ สถานที่ฉายภาพยนตร์ ไนท์คลับ คาบาเรต์
ดิสโกเธค เป็นต้น)
          ภาษีศุลกากร เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากสิ่งของที่นำเข้ามาหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร
          ร้านยาโดยปกติแล้วแล้วไม่ได้อยู่ในฐานะผลิต
นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร หรือส่งออกสินค้าไปนอกราชอาณาจักร
จึงไม่ขอกล่าวถึงภาษีทั้งคู่ในที่นี้
เอกสารอ้างอิง
ประมวลรัษฎากร
พระราชบัญญัติภาษีป้าย
พ.ศ.2510
พระราชบัญญัติภาษีป้าย
พ.ศ.2510
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน
พุทธศักราช 2475