ปรุฬห์ รุจนธำรงค์
ก่อนอื่นพึงระลึกไว้ในใจก่อนเสมอว่า การขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์ยา อาหาร หรือจดแจ้งเป็นเครื่องสำอาง ส่วนหนึ่งต้องพิจารณาจุดมุ่งหมายของผลิตภัณฑ์นั้น (ความประสงค์ของผู้รับผิดชอบผลิตภัณฑ์) การขึ้นทะเบียนหรือจดแจ้งเป็นผลิตภัณฑ์ใดนั้นจะส่งผลการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ (เช่น ในกระบวนการการผลิต การนำเข้า) ตลอดจนการโฆษณาและส่งเสริมการขาย
กรณีของวิตามินซี (Vitamin C, ascorbic acid) ชนิดรับประทานให้พิจารณาก่อนว่าผลิตภัณฑ์นั้นขึ้นทะเบียนเป็นอาหารหรือขึ้นทะเบียนเป็นยา (ขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์ยาจะมี Reg.No. ขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์อาหารจะมีเลข อย.13 หลัก)
ถ้าขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์ยา วิตามินซี 100 mg บรรจุแผงพลาสติกหรืออะลูมิเนียม แผงละ 4 และ 10 เม็ด เป็น "ยาสามัญประจำบ้าน" (ขายที่ใดก็ได้) สังเกตดูจะพบกรอบสีเขียวและในกรอบสีเขียวจะระบุว่ายาสามัญประจำบ้าน
วิตามินซีรับประทานขนาดและป
แต่ถ้าเป็นวิตามินซีในรูปแบบฉีด จะถือว่าเป็นยาอันตราย ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยาอันตราย เนื่องจากประกาศฉบับนี้กำหนดให้ยาฉีดทุกชนิด รวมทั้งน้ำกลั่นที่ใช้สำหรับฉีด เป็นยาอันตรายลำดับที่ 66
วิตามินซีที่เป็นยาฉีด (ตัวอย่างชื่อการค้า V-C injection) ถือเป็นยาอันตราย
ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 ไม่ใช่ว่าใครจะขายได้ หรือโฆษณาขายยาได้
ขายโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษจำคุก โฆษณาขายโดยฝ่าฝืนกฎหมายมีโทษปรับสูงสุด 1 แสนบาท
1. ผู้ที่ขายยานี้มีความผิดดังนี้
1.1 หากไม่ได้รับใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน ถือว่า ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 มาตรา 12 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท (สถานที่จะขายยานี้ได้ต้องเป็นร้านขายยาแผนปัจจุบันเท่านั้น - ใบอนุญาตป้ายสีน้ำเงิน)
1.2 หากผู้ที่ขายยานี้เป็นร้านขายยาแผนปัจจุบัน แต่ได้จัดส่งยานี้ออกนอกร้านให้ประชาชนทั่วไปที่มาสั่งซื้อ (เช่น สั่งซื้อทางโทรศัพท์หรือ อินเตอร์เน็ต หรือระบบออนไลน์) แล้วส่งถือว่าฝ่าฝืนพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 มาตรา 19(1) ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 2,000 - 5,000 บาท ตามมาตรา 102
1.3 หากผู้ที่ขายยานี้เป็นร้านขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะยาบรรจุเสร็จที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษ ได้ขายยานี้ ถือว่าขายยาแผนปัจจุบันไม่ตรงกับประเภท ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 มาตรา 19(2) ต้องต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 2,000 - 5,000 บาท ตามมาตรา 102
2. ผู้ที่โฆษณาขายยา มีความผิดดังนี้
เนื่องจากยานี้เป็นยาอันตราย ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 ไม่ได้อนุญาตให้โฆษณาขายยต่อประชาชนทั่วไป และไม่ได้อนุญาตให้แสดงสรรพคุณของยาว่าใช้ทำอะไรได้บ้าง ใครที่โฆษณาวามีขายตามสื่อต่าง ๆ ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 มาตรา 124 คือ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท
1. ผู้ที่ขายยานี้มีความผิดดัง
1.1 หากไม่ได้รับใบอนุญาตขายยาแ
1.2 หากผู้ที่ขายยานี้เป็นร้านข
1.3 หากผู้ที่ขายยานี้เป็นร้านข
2. ผู้ที่โฆษณาขายยา มีความผิดดังนี้
เนื่องจากยานี้เป็นยาอันตรา
มีข้อสังเกตว่าวิตามินซีที่ขึ้นทะเบียนว่าเป็นยา (หรือผลิตภัณฑ์หลายตัวที่ขึ้นทะเบียนเป็นยา)
ไม่มีข้อกำหนดว่าจะต้องมีปริมาณต่ำสุดเท่าใด
ขอเพียงแต่มีสรรพคุณตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ มีความปลอดภัย ไม่เป็นยาปลอม
เพื่อไม้ให้ถูกเพิกถอนทะเบียนตำรับยา ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 มาตรา 86 (หากข้องใจโปรดตรวจสอบทะเบียนตำรับยาได้ที่ fdaolap.fda.moph.go.th/logistics/drgdrug/DSerch.asp)
แต่กรณีที่ขึ้นทะเบียนเป็นอาหาร สามารถกำหนดให้มีปริมาณวิตามินซีต่อเม็ดหรือต่อหน่วยได้ เนื่องจากสามารถกำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานของอาหาร หรือกำหนดอัตราส่วนของวัตถุที่ใช้เป็นส่วนผสมอาหาร โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 มาตรา 6(3), 6(4) ได้
หากผลิตภัณฑ์นั้นขึ้นทะเบียนเป็นอาหาร ห้ามมีปริมาณวิตามินมากกว่าปริมาณสูงสุดที่ให้ใช้ตามคำแนะนำให้บริโภค 1 วัน ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง ข้อกำหนดการใช้ส่วนประกอบที่สำคัญของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดวิตามินและแร่ธาตุ (ราชกิจจานุเบกษา 22 มิถุนายน พ.ศ.2549) กำหนดวิตามิน ซี (Vitamin C) , หรือ กรดแอล-แอสคอร์บิก (L-ascorbic acid), หรือ โซเดียม-แอล-แอสคอร์เบต (sodium-L-ascorbate), หรือ แคลเซียม-แอล-แอสคอร์เบต (calcium-L-ascorbate), หรือ โพแทสเซียม-แอล-แอสคอร์เบต (potassium-L-ascorbate), หรือ แอล-แอสคอร์บิล 6-แพลมิเทต (L-ascorbyl 6-palmitate) มีปริมาณสูงสุดที่ให้ใช้ตามคำแนะนำให้บริโภค 1 วัน (Thai Recommended Daily Intakes) คือ 60 มิลลิกรัม (mg) คำนวณเป็นวิตามินซี
หากวิตามินซีรับประทานนั้นขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์ยา ไม่สามารถโฆษณาขายโดยวิธีแถมพก หรือจับฉลากรางวัล ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 มาตรา 90 ฝ่าฝืนต้องระวางโทษตามมาตรา 124 คือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท แต่ถ้าขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์อาหารไม่ห้าม ดังนั้น ผู้ประกอบการพึงต้องระวังให้ดี
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์ยาหรืออาหาร ต้องขออนุญาตก่อนการโฆษณา (ข้อสังเกตเบื้องต้น คือ ผลิตภัณฑ์ยาแค่แสดงว่าจะขายก็ต้องอนุญาตก่อนการโฆษณาแล้ว ผลิตภัณฑ์อาหารขออนุญาตก่อนการโฆษณาเมื่อมีการแสดงสรรพคุณ คุณภาพ คุณประโยชน์)
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะขึ้นทะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น