คำพิพากษาศาลฎีกาที่
946 - 947/2475
กรมอัยการหลวงขจร
กลางสนามแลนางขจร กลางสนาม โจทก์
ขุนปราบสรรพโรค
ที่ 1 นายจิตร์ ศุขสนั่นที่ 2 จำเลย
คดีทั้ง ๒ สำนวนนี้
โจทก์ต่างฟ้องจำเลยมีข้อหาอย่างเดียวกันว่า เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๗๓ จำเลยที่
๑ ให้จำเลยที่ ๒ ผสมยาเฆโนโปเดียมเบื่อพยาธิให้เด็กชายจำเนียน อายุ ๑๒ ขวบ
และเด็กชายน้อยอายุ ๖ ขวบ
บุตรหลวงและนางขจร กลางสนาม กินโดยความประมาท เกิดเป็นพิษแก่เด็กทั้ง ๒
จำเลยมิได้รักษาตามสมควร จนเด็กทั้ง ๒ ถึงแก่ความตาย
ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๖๔-๒๕๒ และพระราชบัญญัติการแพทย์
พ.ศ.๒๔๖๖ มาตรา ๑๙ และกฎเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย วันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๒ ข้อ ๒๓-๓๔-๓๕ (๕) ส่วนหลวงขจรและนางขจร กลางสนาม
เรียกค่าเสียหาย ๕๐๐๐ บาทฯ
จำเลยทั้ง ๒ ให้การปฏิเสธความรับผิด
จำเลยที่ ๑ ว่าเป็นแพทย์ประจำร้านขายยาวิบูลย์โอสถ จำเลยที่ ๒
เป็นนักปรุงยาประจำร้าน จำเลยที่ ๑ ได้สั่งให้จำเลยที่ ๒
จ่ายยาเฆโนโปเดียมให้แก่เด็กทั้ง ๒ กินจริง และจำเลยที่ ๒
ได้ทำตามคำสั่งของจำเลยที่ ๑ โดยไม่ได้ประมาทการใด ๆ
ศาลพระราชอาชญาพิจารณาแล้วฟังว่า
เด็กทั้ง ๒ ได้ตายเพราะกินยาของจำเลยเกินขนาด โดยจำเลยที่ ๑ สั่งให้จำเลยที่ ๒
ซึ่งเป็นนักปรุงยา ไม่มีอำนาจทำการบำบัดโรคทางยาจัดยาให้เด็กกิน
เป็นการละเมิดพระราชบัญญัติการแพทย์ มาตรา ๑๙ และเมื่อยาเกิดเป็นพิษแก่เด็ก
จำเลยที่ ๑ ไม่รับไปรักษาแก้ไข กลับใช้จำเลยที่ ๒ ไปรักษาแทน จำเลยทั้ง ๒
มีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๕๒ จึงพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่
๒ มีกำหนดโทษ ๒ ปี จำเลยที่ ๑ มีกำหนดโทษ ๑ ปี
กับปรับ ๕๐๐ บาท แต่จำเลยที่ ๑ ได้รับราชการมานานถึง ๑๐ ปี
และมีบรรดาศักดิ์เป็นขุน จึงให้รอการลงอาญาจำคุกไว้ กับให้จำเลยทั้ง ๒ ช่วยกันใช้ค่าทำขวัญให้โจทก์ ๒๐๐๐ บาทฯ
กรมอัยการโจทก์ และจำเลยทั้ง ๒
ต่างอุทธรณ์ โจทก์อุทธรณ์ว่าไม่ควรรอการลงอาญาจำเลยที่ ๑
เพราะเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยทั้ง ๒
อุทธรณ์คัดค้านว่าตนไม่ควรมีความผิด
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนแล้วเห็นสอดคล้องในข้อเท็จจริงที่ศาลเดิมวินิจฉัยมาทุกประการ
แต่ยังไม่เห็นด้วยในข้อกำหนดโทษ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยที่ ๑
เพราะปรากฏว่าแพทย์ได้ผ่าศพเด็กออกตรวจไม่พบตัวพยาธิเลย แสดงว่าจำเลยที่ ๑
ไม่ได้ตรวจถึงความป่วยไข้ในร่างกายของเด็ก
และทั้งไม่ได้ตรวจอุจจาระด้วยก่อนให้กินยา ตรงได้ก็สั่งให้ผสมยาอย่างแรงให้เด็กกินทีเดียว
เด็กได้ถึงแก่ความตาย เพราะพิษยาที่จำเลยที่ ๑ สั่งให้ผสมแรงเกินขนาดโดยไม่ต้องสงสัย
ทั้งจำเลยที่ ๑ ปล่อยให้จำเลยที่ ๒
มิใช่แพทย์ มีความรู้แต่เพียงผสมยาเล็กน้อยผสมนั้นเป็นการเลินเล่ออย่างร้ายแรง
เมื่อยาเกิดเป็นพิษแก่เด็ก จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ไปแก้ไขพิษยานั้นทันที
แต่จำเลยได้ฉีดยาสูบอุจจาระออก
และให้กินบรั่นดีเหล่านี้ในภายหลังไม่เกี่ยวแก่การทำลายพิษยา นอกจากจำเลยที่ ๑
ได้เลินเล่อแล้ว ไม่ใส่ใจต่อคนไข้ที่หวังฝากชีวิตแก่จำเลยเสียเลย
การที่จำเลยได้กระทำไปนั้น เพียงแต่พอให้พ้น ๆ หน้าที่ไป เท่านั้นฯ
การที่เด็กทั้ง ๒
ได้ตายลงด้วยความไม่แยแสต่อหน้าที่ของแพทย์ประกอบด้วยความเลินเล่ออันมิบังควรนั้น
กระทำให้คนทั้งครอบครัวของเด็กเป็นที่เศร้าโศกมาก กิจการของแพทย์ที่ดี
ย่อมรับกันว่าเป็นที่น่านับถือและไว้วางใจ แต่แพทย์ที่เห็นแก่เงินอย่างเดียว
ไม่เฉลียวว่าผู้ป่วยไข้จะเป็นอย่างไรนั้น เป็นที่เสียหายต่อพวกแพทย์อื่น ๆ
และสาธารณชนยิ่งนัก เพราะฉะนั้นแพทย์ชนิดนี้จำต้องป้องกันเพื่อประโยชน์ของมหาชนฯ
ศาลอุทธรณ์จึงเห็นว่า จำเลยทั้ง ๒
มีความผิดฐานทำให้ตายโดยประมาท แต่จำเลยที่ ๑ เป็นแพทย์ และเป็นนายของจำเลยที่ ๒
เป็นต้นเรื่องแห่งการกระทำผิดยิ่งกว่าจำเลยที่ ๒ ๆ มีความรู้แต่เพียงเล็กน้อย
อยู่ในใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๑ เพราะฉะนั้นความผิดของจำเลยที่ ๒ จะเทียบกับจำเลยที่
๑ หาได้ไม่ จึงพิพากษายืนกำหนดโทษจำเลยที่ ๑
ตามศาลเดิมที่วางมา แต่แก้การรอลงอาชญาเป็นให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ไปทีเดียว และแก้กำหนดโทษจำคุกจำเลยที่ ๒ ให้ลดลงเหลือ ๖ เดือน และรอการลงอาญาไว้
นอกจากที่แก้คงพิพากษายืนฯ
จำเลยที่ ๑ ทูลเกล้าฯ
ถวายฎีกาในปัญหากฎหมายหลายข้อ แต่ควรยกวินิจฉัย คือฯ
(๑) ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคำพิพากษาไม่ตรงตามหลักและคำพยานในสำนวนฯ
(๒) ศาลวินิจฉัยว่า
เด็กตายเพราะกินยาของจำเลยที่ ๑ เกินขนาด เป็นหน้าที่ของจำเลยต้องสืบว่าไม่ได้สั่งให้จ่ายยาเกินขนาดนั้นไม่ชอบ
ควรเป็นหน้าที่โจทก์ต้องสืบว่า จำเลยที่ ๑ สั่งยาเกินขนาด เมื่อโจทก์สืบไม่สม
จำเลยไม่ต้องสืบแก้ฯ
(๓) จำเลยที่ ๑ สั่งให้จำเลยที่ ๒
ผสมยาไม่เกินขนาด แต่จำเลยที่ ๒ ผสมเกินขนาด จำเลยที่ ๑
จะมีความผิดฐานทำให้ตายโดยประมาทด้วยหรือฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวน
ฟังคำแถลงความของคู่ความทั้งสองฝ่าย และประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว
ข้อเท็จจริงของคดีคงฟังได้ดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา
ส่วนปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขึ้นมานั้นในข้อ ๑
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจดูถ้อยคำสำนวนโดยละเอียดตลอดแล้วเห็นว่า
ศาลล่างได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในข้อใหญ่ใจความตรงกับหลักฐานคำพยานดังที่ปรากฏในตัวสำนวนทุกประการแล้ว
หาได้เป็นการผิดแผกไปจากสำนวนมิได้ฯ
ในประเด็นข้อ ๒ กรรมการเห็นว่า
ในข้อนี้ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยบ่งว่าเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องสืบดังที่จำเลยฎีกาคัดค้านขึ้นมา
ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดข้อเท็จจริงไว้ว่า
เพราะปรากฏว่าแพทย์ได้ผ่าศพเด็กออกตรวจไม่พบตัวพยาธิเลย แสดงว่าจำเลยที่ ๑
ไม่ได้ตรวจถึงความป่วยไข้ในร่างกายของเด็ก และทั้งไม่ได้ตรวจอุจจาระเลย
ตรงได้ก็สั่งให้ผสมยาอย่างแรงให้เด็กกินทีเดียว กล่าวโดยเฉพาะ คือ ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยที่
๑ เด็กทั้ง ๒ ได้ตายเพราะพิษยาเฆโนโปเดียมซึ่งจำเลยสั่งให้ผสมแรงเกินขนาดโดยไม่ต้องสงสัย
ข้อเท็จจริงนี้ศาลฎีกาจำต้องฟังตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาฯ
ในประเด็นข้อ ๓ กรรมการเห็นว่า
ข้อที่จำเลยที่ ๑ ยกขึ้นอ้างแก้ว่า จำเลยที่ ๑ สั่งให้จำเลยที่ ๒ ผสมยาไม่เกินขนาด
หากจำเลยที่ ๒ ผสมยาเกินขนาดเอง ข้อนี้จำเลยที่ ๑
ไม่มีหลักฐานอื่นประกอบว่าจำเลยที่ ๒ ผสมยาเกินขนาดผิดไปจากคำสั่งของจำเลยที่ ๑
และตามคำของจำเลยที่ ๑ เองก็ได้ความว่า จำเลยที่ ๑ ได้ปลุกจำเลยที่ ๒ สั่งจำเลยที่
๒ ด้วยปากเปล่าให้ ๆ ยาเฆโนโปเดียมแก่เด็กกิน สั่งแล้วก็กลับไปนอน
ต่อเมื่อจำเลยที่ ๒ ขึ้นไปหาน้ำร้อน และถามจำเลยที่ ๑ ว่า จะให้เด็กกินยาในขนาดใด
จำเลยที่ ๑ ได้สั่งว่า เด็กอายุ ๑๒ ขวบ ๒๐ หยด เด็ก ๙ ขวบ ๑๕ หยด เด็ก ๓ ขวบ ๕ หยด
แต่เด็ก ๓ ขวบนี้ จำเลยประมาณอายุเอาเอง
คำสั่งของจำเลยเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ ๒
ได้ผสมยาให้เด็กกินตามขนาดที่จำเลยที่ ๑ สั่งนั้น แต่เป็นขนาดยาที่เกินขนาดสำหรับเด็กทั้ง
๒ ๆ กินยาแล้วจึงเกิดเป็นพิษขึ้น ถึงแก่ความตาย ดังนี้ อาศัยเหตุดังกล่าวข้างต้น
กรรมการเห็นว่าข้อต่อสู้ของจำเลยในฎีกาเป็นอันฟังไม่ได้
จึงพร้อมกันพิพากษาให้ยกฎีกาจำเลยเสีย
(
พรหม - หริศ - หริศ )
ศาลเดิม
- พระยานิติศาสตร์
ศาลอุทธรณ์
– นายประแดร์
หมายเหตุ:รายละเอียดคำพิพากษาศาลฎีกานี้นำมาจาก
มานิตย์ จุมปา. ข้อควรระวังทางกฎหมายของพยาบาล. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2555, หน้า 46-52
สรุปคำพิพากษาศาลฎีกาที่
946 - 947/2475
(1) คดีนี้เป็นตัวอย่างคดีทางการแพทย์ซึ่งสั่งจ่ายยาฆ่าพยาธิให้เด็กกิน
ต่อมาเด็กตาย จึงถูกตัดสินว่าทำให้ตายโดยประมาท
(2)
การตัดสินว่าประมาทหรือไม่นั้น ศาลพระราชอาชญา (ศาลชั้นต้น) เห็นว่า
ประมาทตรงที่จ่ายยาเกินขนาด ส่วนศาลอุทธรณ์ตัดสินโดยอาศัยพยาน คือ
แพทย์ที่ผ่าพิสูจน์เด็ก ไม่พบตัวพยาธิในเด็ก
จึงถูกตัดสินว่าประมาทตรงที่ไม่ได้ตรวจโรคเด็กก่อนที่จะจ่ายยา ประเด็นอื่นซึ่งที่ศาลเห็นว่าประมาท
คือ เมื่อยาเกิดเป็นพิษแก่เด็กไม่ได้ไปแก้ไขพิษยานั้นทันที ทำการแก้ไขซึ่งไม่เกี่ยวกับการทำลายพิษยา
ประเมินอายุของเด็กเอาเอง
(3) แพทย์
ศาลเห็นว่าแพทย์กระทำความผิดจริง เมื่อเด็กตายจึงต้องถูกลงโทษและใช้ค่าเสียหาย
ค่าทำขวัญแก่บิดามารดาเด็ก
(4) นักปรุงยา
หรือเทียบได้กับเภสัชกรในปัจจุบัน ปรุงยาหรือจัดยาที่เกิดขนาดตามใบสั่งแพทย์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นความผิด จึงกำหนดโทษไว้ แต่ให้รอลงอาญา
(5) คดีนี้มีเพียงแพทย์เท่านั้นที่ฎีกาส่วนนักปรุงยาไม่ได้ฎีกา
อาจเป็นเพราะนักปรุงยาเห็นว่าตนไม่ต้องถูกลงโทษจำคุกก็ได้ เนื่องจากศาลให้รอลงอาญา
จึงพอใจคำตัดสินเพียงเท่านี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น