หนังสือเภสัชเพื่อชุมชน ของชมรมเภสัชเพื่อชุมชน คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ ปี 2518
posted on 08 May 2011 20:40 by rparun
วันนี้ (6 พฤษภาคม 2554) ผมพบหนังสือเล่มหนึ่ง มีชื่อว่า
"เภสัชเพื่อชุมชน" ของชมรมเภสัชเพื่อชุมชน คณะเภสัชศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดพิมพ์ขึ้นเมื่อปี 2518
สิ่งที่แปลกใจมากก็คือ
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้อยู่ที่ห้องสมุดคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(ไม่มีเสียด้วยซ้ำ) แต่อยู่ที่ห้องสมุดคณะนิติศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ความหนา (รวมหน้าโฆษณาและผู้สนับสนุน 113 หน้า )
เลขที่ชั้นวางหนังสือ RM31 จ249ภ 2518 จำนวน 1 เล่ม
และระบบสืบค้นข้อมูลหนังสือพบว่าพบที่คณะแพทยศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีก 1 เล่ม
ผมหยิบและเปิดหนังสือเล่มนี้ด้วยความระมัดระวังอย่างมาก
เพราะกระดาษหนังสือเป็นสีเหลืองไปแล้ว และค่อนข้างจะกรอบง่าย
อีกทั้งต้องเปิดเบา ๆ เพราะเกรงว่าจะมีสปอร์ของเชื้อราปลิวเข้าจมูกได้
สิ่งที่น่าประทับใจ คือ หนังสือเล่มนี้ระบุว่าค่ายที่ออกชุมชนนี้ เป็นค่ายแรกของชมรมที่จัดตั้งขึ้น รุ่นพี่ของพวกเราออกไปเยี่ยมชุมชน เมื่อกลับมายังได้รายงาน ได้หนังสือหนึ่งเล่มกลับมาด้วย เป็นรายงานการดำเนินงานของค่าย อ่านทั้งเล่มแล้วน่าจะเป็นรายงานประจำปีของชมรมเภสัชชุมชนเสียด้วยซ้ำ มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และเป็นแนวทางการดำเนินงานของรุ่นหลัง และยังช่วยตรวจสอบได้ว่าการดำเนินงานค่ายเภสัชเพื่อชุมชนในรุ่นหลังนั้นได้ พัฒนาไปกว่ารุ่นพี่ที่ทำไว้เมื่อ 36 ปีก่อนได้หรือไม่ และเมื่ออ่านจบแล้วจะพบว่าปัญหาหลายอย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 36 ปีก่อน ก็ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน เช่น เรื่อง เภสัชกรแขวนป้าย ปัญหาความเชื่อในการใช้ยาฉีดของชาวบ้าน ปัญหาแพทย์กับเภสัชกรในการสั่งจ่ายการขายยา ปัญหาการใช้ยาแก้ปวด การใช้ยาปฏิชีวนะ
หนังสือเล่มนี้ มีเนื้อหาประกอบด้วย
1. บทบาทของเภสัชกรในสายตาของแพทย์คนหนึ่ง
แพทย์คนนี้ คือ นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานุภาพ ซึ่งขณะนั้นปฏิบัติงานที่ศูนย์การแพทย์และอนามัยบางปะอิน (2518) ซึ่งก็สะท้อนปัญหาในสมัยนั้นว่า นิสิตนักศักษาบางคนถามว่าจบเภสัชแล้วไปไหน เรียนไปทำไม ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย ทำประโยชน์แก่สังคมได้ไม่เต็มที่ (ปัญหานี้ช่างคล้ายในปัจจุบันเหลือเกิน) สมัยนั้นเภสัชกรร้อยละ 70 เข้าเป็นดีเทลยา และมีรายได้พิเศษจากการแขวนป้าย "การเป็นดีเทลยาไม่ได้ใช้ความรู้โดยตรงหากแต่กลายเป็นธุรกิจที่ต้องรู้จัก เอาใจลูกค้า (ส่วนใหญ่คือแพทย์นั่นเอง)" เพราะเภสัชกรแขวนป้าย จึงทำให้หมอตี๋มีบทบาทมากกว่าเภสัชกร ส่วนเภสัชกรในโรงพยาบาลสมัยนั้น ก็แทบไม่มีคนพูดถึง เพราะไม่ได้รับผิดชอบดูแลรักษาผู้ป่วยโดยตรง แต่ "มีชีวิตในอาณาจักรเล็ก ๆ ของตนเท่านั้น คือ "ห้องยา""
เมื่อประสบปัญหาเรื่องการขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวม จึงเริ่มมีการรณรงค์ให้เลิกการแขวนป้าย (ซึ่งปัจจุบันก็ยังทำอยู่) มีการเสนอว่าให้แพทย์และเภสัชกรเสียสละกันคนละครึ่ง โดยแพทย์ทำหน้าที่ตรวจและสั่งยา ส่วนเภสัชกรเป็นคนขายยาให้ เหมือนประเทศตะวนตก (ซึ่งก็ยังเถียงกันอยู่ในปัจจุบัน)
2. สรุปผลงานค่าย
กิจกรรมออกค่าย ณ จังหวัดกำแพงเพชร
1. รายงานผลงานที่ทำ มักเน้นไปทางงานก่อสร้าง (ตรงตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้จริง ๆ)
2. โครงงานสอน เป็นวิชาพื้นฐานของเด็ก ไม่ลงเนื้อหาเรื่องยา
3. มีกิจกรรมด้านสาธารณสุขระหว่างไปค่าย เช่น การเก็บข้อมูล การจัดอบรมการใช้ยาและป้องกันโรคแก่ชาวบ้าน การมอบตู้ยาประจำหมู่บ้าน การติดต่อหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อมารักษาชาวบ้าน
ปัญหาของการออกค่าย (ครั้งนี้เป็นครั้งแรก) คือ ความฉุกละหุกในการเตรียมงาน การเตรียมอุปกรณ์ไม่พร้อม ผู้สอนไม่มีความรับผิดชอบเพียงพอ ชาวค่ายไม่ได้คำนึงถึงหน้าที่ของตน ไม่ดูแลรักษาพัสดุของค่าย
3. รายงานผลโครงการศึกษาปัญหาเภสัชชุมชนในเมืองหลวง
รายงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาเภสัชกรชุมชนจากร้านขายยาใน กรุงเทพหานคร และจากประชาชนผู้บริโภค ระหว่าง 1 กันยายน – 6 พฤศจิกายน 2517 พบว่า
- ร้านยาเป็นด่านแรกที่ประชาชนเข้ามาใช้บริการมากกว่าร้อยละ 70 แต่ร้านยาที่มีเภสัชกรประจำมีไม่ถึงร้อยละ 1
- ต้องเคร่งครัดและกวดขันให้เภสัชกรปฏิบัติการตามเวลาที่กำหนดไว้
- ต้องมีการเคร่งครัดร้านขายยาแผนปัจจุบันที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษไม่ให้ขายยาได้ทุกประเภท
- ต้องให้มีจำนวนร้านขายยาและสถานที่พอเหมาะกับจำนวนประชาชนที่มาใช้บริการ เพื่อลดปัญหาด้านแข่งขัน ค้ากำไรเกินควรโดยการขายยาต่ำกว่ามาตรฐานแก่ประชาชน
4. สรุปผลแบบสอบถามเรื่องโครงการเสริมความรู้เรื่องยาและโรค
ผลการสรุปแบบสอบถามพบว่า
- ประชาชนไม่คุ้นเคยกับยาสามัญประจำบ้าน คุ้นแต่ยาที่โฆษณาตามที่ต่าง ๆ มากกว่า
- บรรยายเป็นวิชาการมากเกินไป ประชาชนผู้ฟังมีปัญหาเรื่องศัพท์เทคนิค
- โรคทางเดินหายใจควรใช้เวลาอธิบายมากขึ้น เพราะเป็นกันแทบทุกคน- การแก้ปวดลดไข้ ประชาชนผู้ฟังมีความตระหนักว่ายามีทั้งคุณและโทษ
- ความรู้เรื่องโรค ได้รับความสนใจมาก ควรมีภาพยนตร์มาฉายประกอบคำบรรยาย
- ข้อเสนอในการอบรมครั้งต่อไป เช่น ความรู้เรื่องโรคติดต่อ การปฐมพยาบาล การวางแผนครอบครัว ยาเกี่ยวกับระบบผิวหนัง สิ่งที่สามารถใช้แทนยาได้ในชนบท ยาระบบทางเดินอาหาร อาการของโรคเกี่ยวกับสมอง ยาปฏิชีวนะ
5. สรุปผลงานของฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ภช.
ทำหน้าที่บริจาคเสื้อผ้า ยา อาหาร ค่ารักษาพยาบาล ในรายงานเขาบันทึกไว้ว่า “งานฝ่ายสังคมสงเคราะห์ในปีที่แล้วเป็นไปในรูปแบบฉาบฉวย เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ การให้สิ่งของหรือวัตถุนิยมเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับผู้ให้และผู้รับ” “งานที่มั่นคงถาวรและเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุในแนวทางวิชาชีพเภสัช คือ “การให้ความรู้””
6. สรุปผลการปฏิบัติงาน โครงการเสริมความรู้เรื่องโรคและการศึกษาปัญหาสาธารณสุขของชนบทไทย ณ ศพอ. 5 แห่ง ระหว่างวันที่ 20 มีนาคม – 30 พฤษภาคม 2518
ศพอ. คือ ศูนย์การแพทย์และอนามัย
จากบันทึกรายงานมีประเด็นที่น่าสนใจ คือ บางคนรู้ว่า เภสัชกรถูกสร้างขึ้นในรูปแบบที่สังคมไม่ต้องการและรู้สึกผิดหวังต่อบทบาทของ เภสัชกรที่ไม่สามารถรับใช้มวลชนได้อย่างเต็มภาคภูมิ บางคนไม่รู้วัตถุประสงค์ของการมาฝึกงาน ชาวบ้านเชื่ออย่างฝังใจว่ายาฉีดดีกว่ายากิน นิสิตพูดภาษาท้องถิ่นไม่ได้ มีปัญหาเรื่องกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่
7. ประเมินผลโครงการตู้ยาประจำหมู่บ้าน
มีการตั้งตู้ยาประจำหมู่บ้าน รวม 42 แห่ง ในพื้นที่ภาคต่าง ๆ ในสมัยนั้น (ปี 2517-2518) เมื่อประชาชนเจ็บป่วย จะซื้อยาจากบรเวณใกล้เคียงหมู่บ้าน หรือให้หมอเถื่อนรักษาก่อน ถ้าอาการทรุดค่อยพามาโรงพยาบาล แต่การมาโรงพยาบาลการคมนาคมมีปํญหาเรื่องเส้นทาง เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาก นอกจากนี้พบว่าชาวบ้านติดยาแก้ปวดมาก นิยมรักษาด้วยเวทมนต์ คิดว่ายาฉีดคือยาที่ดีที่สุด ทางชมรมได้มีการติดตามผลการดำเนินงานเป็นระยะ พบว่าหมู่บ้านที่มีตู้ยาประจำหมู่บ้าน มีการส่งข่าวกลับมายังชมรมเป็นระยะ 25 แห่ง ชมรมส่งจดหมายเตือนไป 1 ครั้ง 9 แห่ง ชมรมส่งจดหมายเตือนไป 2 ครั้ง 3 แห่ง ไม่เคยติดต่อมาเลย 5 แห่ง
8. เล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับชมรมเภสัชเพื่อชุมชน
ศาสตราจารย์ นาวาเอก พิสิทธิ์ สุทธิอารมณ์ ร.น. คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในสมัยนั้น ได้กล่าวถึงความสำเร็จของโครงการ และเป็นโครงการหนึ่งที่คณะได้เล็งเห็นความสำคัญและให้การสนับสนุนตลอดมา เป็นประโยชน์ต่อนิสิต และประเทศชาติเป็นการส่วนรวม หวังว่าคงจะมีการปฏิบัติสืบทอดต่อไปและได้ขยายขอบเขตของงานให้กว้างออกไป โดยร่วมมือกับบุคลากร ๆ ในฝ่ายสาธารณสุขในการศึกษาปัญหาและช่วยกันแก้ไขและให้บริการแก่ประชาชนคนละ ไม้คนละมือ ในภาวะที่บ้านเมืองกำลังต้องการความร่วมมือร่วมใจด้วยกันทุกฝ่าย
9. สรุปผลการสัมมนา ที่ชะอำ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
กิจกรรมนี้เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนออกค่าย สังเกตจากวัตถุประสงค์แล้ว ต้องการสร้างถาวรวัตถุ คือ โรงเรียนให้กับหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการสื่อสัมพันธ์ให้ประชาชนร่วมมือและรับฟังคำแนะนำด้านสาธารณสุข และต้องการฝึกทักษะการทำงานของชาวค่าย
10. ข้อคิดเห็นในการทำงานของชมรมเภสัชเพื่อชุมชน
อ.สำลี ใจดี อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมเภสัชเพื่อชุมชน (14 กันยายน 2518) กล่าวไว้ว่า ชมรมนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก ศรัทธาและแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ต้องการความร่วมมือร่วมใจ มิต้องการสร้างความแตกแยก
“ชมรมนี้ มีวัตถุประสงค์ให้นิสิตสนใจปัญหาของสังคมที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพของตนเอง ทั้งทางตรงและทางอ้อม ศึกษาติดตาม และเริ่มรับผิดชอบต่อสังคมในฐานะที่เป็นหน่วยหนึ่งของสังคมซึ่งใช้ภาษีอากร ของประชาชนมาร่ำเรียน ดำเนินการโดยเริ่มบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม ด้านการนำความรู้ความสามารถในวิชาชีพมาใช้ เช่น ช่วยเผยแพร่แนะนำความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาให้ถูกต้อง ปลอดภัย ได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบท และสร้างความสำนึกในหน้าที่ให้แก่ตนเองในการมีบทบาทร่วมรับผิดชอบปัญหา สาธารณสุขของชาติ”
“ในฐานะที่ครูได้เห็นการทำงานและให้ความสนับสนุนมาตั้งแต่ชมรมเริ่มก่อ ตั้ง ซึ่งก็ไม่ง่ายนักในการก่อตั้ง แต่การดำเนินงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ต่อไปนั้น จะยากยิ่งกว่า ถ้าผู้ดำเนินงานทุกคนไม่เข้าใจจุดประสงค์อย่างแท้จริงว่าตนเองกำลังทำอะไร กันอยู่ ในกรณีที่มีปัญหาไม่เข้าใจกันก็น่าจะหันมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันว่า เรากำลังทำอะไร เพื่ออะไร เพื่อให้ได้วิธีการดำเนินงานที่ดีที่สุด อย่าไปยึดมั่นอยู่กับทิฐิและตำแหน่งอะไรทั้งสิ้น เพราะหนทางที่เภสัชกรจะก้าวไปสู่อนาคตข้างหน้าเพื่อรับใช้สังคมนั้นยังมี ปัญหาที่เราทุกคนจะต้องเรียนรู้และช่วยกันหาแนวทางแก้ไขอีกมากมายนัก”
11. โครงการปี 2518-19
ชมรมเภสัชเพื่อชุมชน มีโครงการที่ดำเนินการทำในช่วงปี 2518 – 19 ดังนี้
(1) โครงการสาธารณสุขเพื่อชนบท เป็นโครงการร่วมระหว่างนิสิต 4 คณะ
คือ คณะแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์
เพื่ออกไปพัฒนาทางด้านสาธารณสุขร่วมกัน
(2) โครงการเผยแพร่ความรู้เรื่องยาแก่เยาวชน(3) โครงการของฝ่ายสังคมสงเคราะห์
(4) โครงการตู้ยาประจำหมู่บ้าน
(5) โครงการค่ายอาสาสมัคร
(6) โครงการเสริมความรู้เรื่องโรคและการศึกษาปัญหาสาธารณสุขของชนบทไทย
อ่านจบแล้ว รู้สึกทึ่งและรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของชมรมนี้ในอดีตเมื่อช่วงปี พ.ศ.2518 กันหรือไม่ครับ
สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ รายชื่อที่ปรึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษาที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้นะครับ
ที่ปรึกษาชมรม
- พันโทสามารถ อังศุสิงห์
- ศาสตราจารย์ นาวาเอก พิสิทธิ์ สุทธิอารมณ์
- พลตำรวจโทกฤช ปัจฉิมสวัสดิ์
- นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานุภาพ
- อาจารย์สำลี ใจดี
อาจารย์ที่ปรึกษาชมรม
- อาจารย์จำนงค์ วิสุทธิสุนทร
- อาจารย์รพีพล ภโววาท
เนื้อหาในนี้เป็นเนื้อหาอย่างย่อนะครับ ถ้าใจรายละเอียด ให้ติดตามหนังสือชื่อ “เภสัชเพื่อชุมชน” ชมรมเภสัชเพื่อชุมชน คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นครับ
ปรุฬห์ รุจนธำรงค์
บันทึก 6 พฤษภาคม 2554
http://rparun.exteen.com/20110508/entry
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น