ประวัติความเป็นมาของพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม
พ.ศ.2537
ภก.ปรุฬห์
รุจนธำรงค์
ส่วนที่ 1 การเสนอร่างพระราชบัญญัติ
วันที่
9 พฤษภาคม พ.ศ.2532 คณะรัฐมนตรีมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม
พ.ศ. ... ว่าสมควรแยกการควบคุมการประกอบวิชาชีพจากพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ
พุทธศักราช 2479 ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา[1] ต่อมาวันที่ 14 พฤศจิกายน 2532 คณะรัฐมนตรีก็ได้เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อน
นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป[2] ต่อมามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าชื่อร่วมกันเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม
พ.ศ. .... ซึ่งคณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการรัฐสภาเสนอ[3]
วันที่
18 กันยายน พ.ศ.2533 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้แก้ไขร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม
พ.ศ. ....
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขและ ทบวงมหาวิทยาลัยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนนำเสนอ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรตรวจพิจารณาต่อไปแล้วให้ทบวงรับข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขเรื่องเกี่ยวกับการกำหนดให้มีผู้แทนกระทรวงสาธารณสุขในคณะกรรมการ
ทบวงมหาวิทยาลัยไปดำเนินการต่อไป[4]
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. .... ที่ได้แก้ไขตามมติคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ
ฝ่ายสังคมและกฎหมาย และร่างพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. ....
ที่ประธานกรรมการกลั่นกรอง ฯ ได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ทำหน้าที่รัฐสภา พิจารณาต่อไป[5] ต่อมามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าชื่อร่วมกันเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม
พ.ศ. .... ซึ่งคณะรัฐมนตรีรับหลักการร่างพระราชบัญญัติตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
ดังต่อไปนี้ (1) ฉบับของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังธรรม (นายวิลาศ
จันทร์พิทักษ์ และนายแสวง ฤกษ์จรัล พรรคพลังธรรม เป็นผู้เสนอ) เมื่อวันที่ 20
ตุลาคม พ.ศ.2535[6] (2) ฉบับของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคกิจสังคม
(นายอัมพล จันทรเจริญ พรรคกิจสังคม เป็นผู้เสนอ) เมื่อวันที่
24 พฤศจิกายน พ.ศ.2535[7]
วันที่
16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2536 เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม
พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงสาธารณสุข เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป[8]
การเสนอร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม
พ.ศ. .... มีการเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 4 ฉบับ ดังนี้[9]
1.
ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. .... ฉบับคณะรัฐมนตรี สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรับไว้เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ.2536 ในสมัยนั้นเป็นรัฐบาลของนายชวน
หลีกภัย นายกรัฐมนตรี บรรจุระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 18 ปีที่ 1 ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญ
ครั้งที่ 2) วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม
พ.ศ.2536
2.
ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. .... ฉบับนายวิลาศ
จันทร์พิทักษ์ และนายแสวง ฤกษ์จรัส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังธรรม สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรับไว้เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ.2535 บรรจุระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ชุดที่ 18 ปีที่ 1 ครั้งที่ 8 (สมัยสามัญ ครั้งที่ 1) วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ.2535
3.
ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. .... ฉบับนายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ กับคณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์[10] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรับไว้เมื่อวันที่
29 ตุลาคม พ.ศ.2535 บรรจุระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ชุดที่ 18 ปีที่ 1 ครั้งที่ 12 (สมัยสามัญ ครั้งที่ 1) วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2535
4.
ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. .... ฉบับนายอัมพร
จันทรเจริญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคกิจสังคม สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรับไว้เมื่อวันที่
4 พฤศจิกายน พ.ศ.2535 บรรจุระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ชุดที่ 18 ปีที่ 1 ครั้งที่ 14 (สมัยสามัญ ครั้งที่ 1) วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.2535
หลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติ
มีดังนี้
1. หลักการ ร่างพระราชบัญญัติทั้ง 4 ฉบับ
มีข้อความที่เหมือนกัน คือ “ให้มีกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเภสัชกรรม”
2. เหตุผล
(1) ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม
พ.ศ. .... ฉบับคณะรัฐมนตรี ฉบับนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ และนายแสวง ฤกษ์จรัส
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังธรรม และฉบับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
กับคณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ มีเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติซึ่งมีข้อความเหมือนกันดังนี้
“โดยที่การประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบันสาขาเภสัชกรรม
อยู่ในความควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ
ซึ่งมีคณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะทำหน้าที่ควบคุมการประกอบโรคศิลปะสาขาต่าง
ๆ ทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณ
ในปัจจุบันวิชาการและเทคโนโลยีทางด้านเภสัชศาสตร์ในประเทศไทยได้เจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นอันมาก
ประกอบกับจำนวนผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาเภสัชกรรมมีจำนวนมากขึ้น
สมควรแยกการควบคุมการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ออกจากอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ
โดยจัดตั้งสภาเภสัชกรรมขึ้นทำหน้าที่ควบคุมการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมแทนคณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้”
(2) ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. .... ฉบับนายอัมพร จันทรเจริญ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคกิจสังคม มีเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติดังนี้
“โดยที่ในปัจจุบันการประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบันในสาขาเภสัชกรรม กรรม อยู่ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ
ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ
แต่เนื่องจากในปัจจุบันการประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบันในสาขาเภสัชกรรมได้พัฒนาออกไปอย่างกว้างขวางและมีบุคลากรในสาขานี้เป็นจำนวนมาก
จากกรณีดังกล่าวจึงสมควรแยกการควบคุมการประกอบวิชาชีพในสาขาเภสัชกรรมออกจากอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ
โดยจัดตั้งสภาเภสัชกรรมขึ้นประกอบด้วยผู้แทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบวิชาชีพดังกล่าว
ซึ่งได้รับการเลือกตั้งโดยผู้ประกอบวิชาชีพด้วยกันเองเป็นกรรมการ ทั้งนี้
เพื่อความคล่องตัวในการทำหน้าที่ควบคุมและส่งเสริมมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมได้โดยอิสระ
เหมาะสม และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้”
[1] มติคณะรัฐมนตรี 9
พฤษภาคม พ.ศ.2532
[2] มติคณะรัฐมนตรี 14
พฤศจิกายน พ.ศ.2532
[3] มติคณะรัฐมนตรี 10
กรกฎาคม พ.ศ.2533
[4] มติคณะรัฐมนตรี 18
กันยายน พ.ศ.2533
[5] มติคณะรัฐมนตรี 25
กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535
[6] มติคณะรัฐมนตรี 20
ตุลาคม พ.ศ.2535
[7] มติคณะรัฐมนตรี 24
พฤศจิกายน พ.ศ.2535
[8] มติคณะรัฐมนตรี 16
กุมภาพันธ์ พ.ศ.2536
[9] สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา,
พระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ.2537 (นิติบัญญัติ
ฉบับที่ 16), หน้า 3
[10] ยังไม่สามารถค้นหาข้อมูลได้ว่า
คณะรัฐมนตรีมีมติรับหลักการเมื่อใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น