คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2551
|
|
ป.วิ.อ. มาตรา 226
สิบตำรวจตรี ส.
ขอซื้อยาลดความอ้วนซึ่งมีส่วนผสมของเฟนเตอมีนจากจำเลย
จำเลยบอกว่าไม่มีและที่ร้านของจำเลยไม่ได้ขายลดความอ้วนดังกล่าวสิบตำรวจตรี ส.
จึงบอกว่าคนรักต้องการใช้ยาลดความอ้วน จำเลยจึงบอกว่าจำเลยมียาลดความอ้วนอยู่ 1
ชุด ที่จำเลยซื้อมาไว้รับประทานเอง สิบตำรวจตรี
ส.ขอซื้อยาลดความอ้วนชุดนั้นจำเลยจึงขายให้และเมื่อมีการตรวจค้นร้านขายยาของจำเลยก็ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายอื่นแต่อย่างใด
เมื่อจำเลยไม่มีเฟนเตอมีนของกลางไว้เพื่อขายดังที่โจทก์ฟ้อง
และรับฟังไม่ได้ว่าที่ร้านขายยาของจำเลยเคยมีการขายเฟนเตอมีนมาก่อน ดังนั้น
การที่จำเลยขายเฟตเตอมีนของกลางให้แก่สิบตำรวจตรี ส.
จึงเกิดจากการถูกล่อให้กระทำความผิด
โดยจำเลยไม่มีเจตนาจะกระทำความผิดในการขายเฟตเตอมีนมาก่อน
พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นพยานที่เกิดขึ้นโดยมิชอบโจทก์ไม่สามารถอ้างเป็นพยานหลักฐานได้ตาม
ป.วิ.อ. มาตรา 226
________________________________
โจทก์ฟ้องว่า
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2544 เวลากลางวัน
จำเลยมีเฟนเตอมีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท
2 จำนวน 15 แคปซูล น้ำหนัก 0.549 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อขาย
และจำเลยได้ขายเฟนเตอมีนดังกล่าวให้แก่ผู้ล่อซื้อในราคา 250 บาท
โดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อและเฟนเตอมีนจำนวนดังกล่าว
เป็นของกลาง
เฟนเตอมีนของกลางหมดไปในการตรวจวิเคราะห์ส่วนธนบัตรของกลางเจ้าพนักงานเก็บ
รักษาไว้ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท
พ.ศ.2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 89
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13
ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 วางโทษจำคุก 5 ปี
จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ
ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน
คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ
ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
“...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า
จำเลยและนายอัชฌาณัฐ สามีประกอบกิจการร้านขายยาชื่อ นิววัฒนาเพิ่มสิน
โดยนายอัชฌาณัฐได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินกิจการ
ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องจำเลยได้ขายยาลดความอ้วนของกลางจำนวน 15 แคปซูล
ให้แก่สิบตำรวจตรีสมเกียรติ ผู้ล่อซื้อในราคา 250 บาท ยาลดความอ้วนของกลางทั้ง 15
แคบซูล ได้มีการตรวจวิเคราะห์โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้ว
ผลการตรวจวิเคราะห์ตรวจพบเฟนเตอมีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2
ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 ผสมอยู่จำนวน 0.549 กรัม มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีเฟนเตอมีนจำนวนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายเฟนเตอมีนโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่
เห็นควรวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของจำเลยก่อน
โดยจำเลยยื่นคำแก้ฎีกาว่าจำเลยไม่ทราบข้อเท็จจริงว่ายาลดความอ้วนที่จำเลยขายให้แก่สิบตำรวจตรีสมเกียรติมีเฟนเตอมีนผสมอยู่
เนื่องจากจำเลยไม่ใช่แพทย์หรือเภสัชกรจึงไม่
ทราบมาก่อนว่าในยาลดความอ้วนมีส่วนผสมของเฟนเตอมีนอยู่ด้วย
เท่ากับว่าจำเลยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด
ปัญหานี้พันตำรวจโทมานพ
พนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความว่า ในชั้นสอบสวนพยานแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่า
มีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 (เฟนเตอมีน)
ไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายเฟนเตอมีนโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยให้การรับสารภาพซึ่งตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวระบุว่านาย
อัชฌาณัฐ
สามีจำเลยร่วมฟังการสอบสวนและได้ลงลายมือชื่อไว้ในบันทึกคำให้การของจำเลย
ด้วย
และปรากฏจากบันทึกคำให้การดังกล่าวว่า จำเลยตอบคำถามพนักงานสอบสวนว่า
จำเลยทราบดีว่ายาลดความอ้วนที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดไว้เป็นของกลางเป็นวัตถุ
ออกฤทธิ์ซึ่งการขายหรือมีไว้ในครอบครองเป็นความผิดจำเลยเบิกความว่าในการสอบ
สวนตามบันทึกคำให้การพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำจำเลยและพิมพ์ตามที่จำเลยให้
การ
แต่จำเลยเบิกความต่อไปว่า ที่ตอบว่าจำเลยทราบดีนั้น
จำเลยไม่ทราบมาก่อนว่ายาลดความอ้วนเป็นวัตถุออกฤทธิ์
เพิ่งมาทราบจากพนักงานสอบสวน
เห็นว่า จำเลยจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ส่วนนายอัชฌาณัฐ
สามีจำเลยจบการศึกษาระดับปริญญาโท
หากจำเลยเพิ่งทราบจากพนักงานสอบสวนว่ายาลดความอ้วนของกลางเป็นวัตถุออกฤทธิ์
ซึ่งการขายหรือมีไว้ในครอบครองเป็นความผิดจำเลยก็ชอบที่จะให้การปฏิเสธ
เนื่องจากไม่ปรากฏว่ามีการบังคับขู่เข็ญหรือกระทำด้วยประการใดให้จำเลยให้
การรับสารภาพแต่อย่างใดประกอบกับจำเลยและสามีมีอาชีพค้าขายโดยประกอบกิจการ
ร้านขายยามิใช่เป็นประชาชนทั่วไปที่เพียงแต่บริโภคยา
จำเลยจึงน่าจะต้องทราบว่ายาลดความอ้วนดังกล่าวมีเฟนเตอมีอันเป็นวัตถุออก
ฤทธิ์ในประเภท
2 ผสมอยู่
และน่าจะต้องทราบว่าการขายหรือมีไว้ในครอบครองยาลดความอ้วนดังกล่าวเป็นความ
ผิด
ดังนั้น
ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าจำเลยไม่ทราบว่ายาลดความอ้วนที่จำเลยขายให้แก่สิบ
ตำรวจตรีสมเกียรติมีเฟนเตอมีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท
2 ผสมอยู่ จึงฟังไม่ขึ้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่า
จำเลยรู้อยู่แล้วว่าการมีเฟนเตอมีนไว้ในครอบครองเป็นความผิดต่อกฎหมาย
จำเลยเบิกความว่าจำเลยซื้อยาลดความอ้วนของกลางทั้ง 15 แคปซูล
มาจากพนักงานขายยาโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ทำตามคำสั่งของผู้ประกอบวิชาชีพ
เวชกรรมแต่อย่างใด
ข้อเท็จจึงฟังได้ว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งเฟนเตอมีนของกลางโดยไม่ได้รับ
อนุญาต
ปัญหาว่า
จำเลยครอบครองเฟนเตอมีนของกลางไว้เพื่อขายหรือไม่และการกระทำของจำเลยเป็น
ความผิดฐานขายเฟนเตอมีนโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่
ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่า ในการล่อซื้อเฟนเตอมีนจากจำเลย
เมื่อสิบตำรวจตรีสมเกียรติขอซื้อยาลดความอ้วนจากจำเลยโดยบอกว่าจะเอาไปให้คน
รัก
จำเลยบอกว่าไม่มีและที่ร้านของจำเลยไม่ได้ขายยาลดความอ้วนสิบตำรวจตรีสม
เกียรติจึงบอกว่าคนรักของสิบตำรวจตรีสมเกียรติจะต้องใช้ยาลดความอ้วนและจะ
กลับไปต่างจังหวัดในวันที่ล่อซื้อนั้นเอง
จำเลยจึงบอกว่าจำเลยมียาลดความอ้วนอยู่ 1 ชุด
ที่จำเลยซื้อมาไว้รับประทานเอง
สิบตำรวจตรีสมเกียรติขอซื้อยาลดความอ้วนชุดนั้น จำเลยจึงขายให้ในราคา 250
บาท
และเมื่อมีการตรวจค้นร้านขายยาของจำเลยก็ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายอื่นแต่อย่าง
ใด
ที่โจทก์ฎีกาว่าก่อนการล่อซื้อได้มีการสืบทราบมาก่อนเกิดเหตุแล้วว่าจำเลย
ลักลอบขายยาลดความอ้วนนั้น
แม้สิบตำรวจตรีสมเกียรติพยานโจทก์จะเบิกความว่า
ก่อนเกิดเหตุได้มีการสืบทราบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาว่า
ที่ร้านขายยาของจำเลยมีการลักลอบขายยาลดความอ้วน
โดยทางกองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติดได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากสำนักงาน
คณะกรรมการอาหารและยาโดยให้ส่งตัวอย่างยาลดความอ้วนมาให้ดูด้วย
แต่โจทก์ก็มิได้ส่งหนังสือหรือตัวอย่างยาลดความอ้วนดังกล่าวต่อศาลคำเบิก
ความของสิบตำรวจตรีสมเกียรติจึงเป็นคำเบิกความลอยๆ
และไม่สอดคล้องกับบันทึกการจับกุมที่ระบุว่าจากการสืบสวนเจ้าพนักงานตำรวจ
สืบทราบว่าร้านขายยานิววัฒนาเพิ่มสินมีการลักลอบขายเฟนเตอมีน
ไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้เบาะแสมาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแต่
อย่างใด
นางนัยนา ซึ่งรับราชการอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาในตำแหน่งเภสัชกร
มีหน้าที่ตรวจสอบวัตถุออกฤทธิ์ที่จำหน่ายในท้องตลาดเบิกความเป็นพยานโจทก์
ว่า
พยานได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2544
ให้ไปร่วมตรวจสอบกับเจ้าพนักงานตำรวจในวันรุ่งขึ้นโดยยังไม่ได้บอกว่าให้ไป
ตรวจอะไร
ตามคำเบิกความของนางนัยนาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและ
ยาก็ไม่ปรากฏว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสืบทราบมาว่าที่ร้านขายยาของ
จำเลยมีการลักลอบขายยาลดความอ้วนดังที่สิบตำรวจตรีสมเกียรติเบิกความ
ส่วนพันตำรวจโทมานพ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า
จากการสอบสวนผู้ร่วมจับกุมซึ่งไม่ปรากฏว่าเป็นใครได้ความว่านางนัยนาได้รับ
แจ้งจากเจ้าพนักงานตำรวจว่าที่ร้านขายยาของจำเลยมีการลักลอบขายยาลดความอ้วน
ดังนี้พยานโจทก์จึงรับฟังเอาแน่นอนไม่ได้ว่าหน่วยงานใดเป็นผู้สืบทราบและรับ
ฟังไม่ได้ว่าก่อนการล่อซื้อจับกุมมีการสืบทราบมาก่อนดังที่สิบตำรวจตรีสม
เกียรติเบิกความนายศักดิ์ชัย
พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งเป็นเภสัชกรประจำ
อยู่ที่ร้านขายยาของจำเลยเบิกความว่า
พยานไม่เคยเห็นยาลดความอ้วนของกลางอยู่ในร้านดังนี้
พยานหลักฐานตามที่โจทก์นำสืบจึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเฟนเตอมีนของกลางไว้
เพื่อขายดังที่โจทก์ฟ้อง
และรับฟังไม่ได้ว่าที่ร้านขายยาของจำเลยเคยมีการขายเฟนเตอมีนมาก่อน ดังนั้น
การที่จำเลยขายเฟนเตอมีนของกลางให้แก่สิบตำรวจตรีสมเกียติจึงเกิดจากการถูก
ล่อให้กระทำความผิด
โดยจำเลยไม่มีเจตนาจะกระทำความผิดในการขายเฟนเตอมีนมาก่อน
พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นพยานที่เกิดขึ้นโดยมิชอบ
โจทก์ไม่สามารถอ้างเป็นพยานหลักฐานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา
226 ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า
จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนรับฟังลงโทษจำเลยได้นั้น
เห็นว่า
เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ในชั้นพิจารณารับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้เช่นนี้แล้ว
ลำพังแต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนก็ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้
อย่างไรก็ตามคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า
จำเลยมีเฟนเตอมีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขาย
ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา
13 ทวิ
และ 89
ความผิดดังกล่าวย่อมรวมถึงการมีเฟนเตอมีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ตามมาตรา
62 วรรคหนึ่ง และ 106 วรรคหนึ่ง อยู่ด้วย
ถือได้ว่าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่างซึ่งแต่ละอย่างอาจเป็น
ความผิดได้อยู่ในตัวเองเมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยมีเฟนเตอมีนไว้ในครอบ
ครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีเฟนเตอมีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับ
อนุญาตซึ่งมีบทลงโทษเบากว่าตามที่พิจารณาได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา
มาตรา 192 วรรคท้ายได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น
ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน
ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า
จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 62
วรรคหนึ่ง, 106 วรรคหนึ่ง วางโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 21,000 บาท
คำให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา
มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน
และปรับ 14,000 บาท
ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้ภายในกำหนด 1 ปี
ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
( ชินวิทย์ จินดา แต้มแก้ว - พีรพล พิชยวัฒน์ - พิสิฐ ฐิติภัค )
หมายเหตุ
ในการล่อให้กระทำความผิดนั้น
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาเยอรมันแต่เดิมศาลจะไม่ลงโทษจำเลยที่ถูกล่อให้กระทำความ
ผิด (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด)
หากการล่อให้กระทำความผิดดังกล่าวขัดต่อหลักนิติรัฐ
โดยตามแนวคำพิพากษาของศาลถือว่ากรณีดังต่อไปนี้เป็นการขัดต่อหลักนิติรัฐ
เช่น ถ้าจำเลย (คือผู้ที่ถูกล่อให้กระทำความผิด) ยังไม่เคยถูกลงโทษมาก่อน
จำเลยเป็นผู้ติดยาเสพติดเป็นต้น อย่างไรก็ตาม
ไม่ถือว่าเป็นการขัดต่อหลักนิติรัฐหากว่าตัวผู้ค้ายาเสพติดเป็นผู้เข้าหาตัว
ผู้ล่อให้กระทำความผิดเอง (BverfG NJW 1987, 1870)
นอกจากนี้คำถามของเจ้าพนักงานตำรวจที่ถามหญิงโสเภณีว่าเธอพร้อมที่จะมีเพศ
สัมพันธ์กับเขาหรือไม่นั้น
ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันเคยวินิจฉัยไว้ว่าไม่ถือว่าเป็นการขัดต่อหลักนิติรัฐ
(BverfG NStZ, 1985, 131)
การล่อให้กระทำความผิดที่ขัดต่อหลักนิติรัฐตามแนวคำพิพากษาศาลเยอรมันข้าง
ต้น จะนำไปสู่อุปสรรคในการฟ้องร้องดำเนินคดีและอุปสรรคในกระบวนพิจารณาคดี
(Strfverfolgungs - und Prozesshindernis)
ผลในทางกฎหมายก็คือกระบวนพิจารณาไม่อาจที่จะดำเนินต่อไปได้
ศาลไม่อาจที่จะวินิจฉัยลงในเนื้อหาของคดีได้และต้องยุติคดีลง
ในทางตรงกันข้าม แนวคำพิพากษาศาลฎีกาเยอรมันในปัจจุบัน
(ตั้งแต่คำวินิจฉัยของศาลในคดี BGHSt 32, 345; BGH Strv 1989, 518)
เห็นว่าการล่อให้กระทำความผิดที่เป็นการขัดต่อหลักนิติรัฐนั้นเป็นแต่เพียง
เหตุในการลดโทษอย่างสำคัญ ("wesentlichen Strafmilderungsgrund)
และลงโทษจำเลยในอัตราโทษขั้นต่ำตามกฎหมาย
ส่วนความเห็นในทางตำรานั้นยังไม่เป็นที่ยุติ
บางฝ่ายเห็นไปในทำนองเดียวกันกับแนวคำพิพากษาศาลฎีกาเยอรมันแต่เดิม
ส่วนศาสตราจารย์ Roxin
เห็นว่าการล่อให้กระทำความผิดที่เป็นการขัดต่อหลักนิติรัฐนั้นเป็นเหตุตัดใน
การลงโทษซึ่งเป็นเรื่องในทางสารบัญญัติ (ein materiellrechtlicher
Strafausschiessungsgrund) (ผลในทางกฎหมายก็คือยกเว้นโทษให้จำเลยนั่นเอง)
ไม่ใช่เรื่องอุปสรรคในกระบวนพิจารณาคดี (kein Prozesshindernis)
เพราะการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ขัดต่อหลักนิติรัฐนั้นไม่ได้เกี่ยว
ข้องแต่แรกในเรื่องของกระบวนพิจารณาแต่เกี่ยวข้องตั้งแต่แรกในเรื่องของการ
เกิดขึ้นของการกระทำความผิดและด้วยเหตุนี้เอง ศาสตราจารย์ Roxin
จึงเห็นว่ารัฐจึงไม่มีสิทธิลงโทษจำเลยในกรณีดังกล่าว (Vgl. Roxin,
Strafverfahrensrecht, 25.Auflage 1998, บทที่ 10, หัวข้อ 27f.)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่หมายเหตุ
เป็นไปตามแนวเดิมที่ศาลฎีกาเคยวางหลักไว้ว่าถ้าจำเลยถูกล่อให้กระทำความผิด
แล้วพยานหลักฐานดังกล่าวรับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้
ซึ่งดูเหมือนจะต่างกับแนวคำพิพากษาศาลฎีกาของเยอรมันในปัจจุบันที่เห็นว่า
การล่อให้กระทำความผิดเป็นแต่เพียงเหตุลดโทษ
ผู้เขียนหมายเหตุเห็นว่าหลักที่ศาลฎีกาของไทยวางไว้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
เพราะรัฐไม่น่าที่จะสามารถลงโทษจำเลยที่ถูกล่อให้กระทำความผิดได้ทั้งนี้
เป็นไปตามหลักที่ว่ารัฐไม่อาจที่จะลงโทษบุคคลที่การกระทำความผิดของเขาเกิด
ขึ้นจากการเริ่มต้นของรัฐได้ (venire contra factun proprium)
สุรสิทธิ์ แสงวิโรจนพัฒน์
หมายเหตุ
ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ผ่านมาในเรื่องการล่อให้กระทำความผิดมีเส้นแบ่ง
แยกอยู่ที่ว่า
พยานหลักฐานที่ได้มาจากการล่อให้กระทำความผิดนั้นเป็นพยานหลักฐานที่จำเลยมี
อยู่แล้วหรือว่าเป็นสิ่งที่จำเลยทำให้มีขึ้นมาใหม่
ดังนั้นถ้าเป็นกรณีที่จำเลยมีพยานหลักฐานนั้นอยู่แล้ว เช่น
มีเมทแอมเฟตามีนอยู่ในความครอบครองแล้วเจ้าพนักงานไปล่อซื้อได้มา
ก็ถือว่าเมทแอมเฟตามีนนั้นเป็นพยานหลักฐานที่ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา
266
แต่ถ้าเป็นกรณีที่จำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดมาก่อนดังเช่นข้อเท็จจริงตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2551 เมื่อเจ้าพนักงานไปล่อซื้อ
จำเลยจึงไปแสวงหาเฟนเตอมีนของกลางมา
ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าเฟนเตอมีนของกลางเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยมิชอบ
ตามมาตรา 226 ดังกล่าว ซึ่งเป็นการวินิจฉัยตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ผ่านมา
ผู้เขียนมีความเห็นเพิ่มเติมว่า
หลังจากมีการเพิ่มมาตรา 226/1 โดยผลของ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ.
(ฉบับที่ 281 พ.ศ.2551
จำเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงการกระทำของเจ้าพนักงานในเรื่องการไปล่อซื้อด้วย
ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า หลังจากที่มาตรา 226/1 มีผลบังคับใช้แล้ว
การที่เจ้าพนักงานจะกระทำการล่อซื้อต้องกระทำไปโดยมีอำนาจตามกฎหมาย เช่น
กฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดียาเสพติด
เป็นต้น
ที่ให้อำนาจและกำหนดหลักเกณฑ์ของการที่เจ้าพนักงานจะไปล่อซื้อซึ่งส่งผลให้
การล่อซื้อนั้นเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น
จึงถึงเวลาแล้วที่ควรมีการปรับปรุงแก้ไข ป.วิ.อ.
ให้สอดคล้องกับหลักการของมาตรา 226/1
มิฉะนั้นการล่อซื้อของเจ้าพนักงานที่ไม่มีกฎหมายรองรับอาจถูกตีความว่าเป็น
การกระทำที่ไม่ชอบและส่งผลให้พยานหลักฐานที่ได้มาจากการล่อซื้อเป็นพยานหลัก
ฐานที่รับฟังไม่ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/1
ซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่เป็นบทตัดพยานหลักฐานที่เด็ดขาด
แต่ก็ควรมีกฎหมายกำหนดให้ชัดเจนในเรื่องอำนาจของเจ้าพนักงานในการรวบรวมพยาน
หลักฐานว่าจะต้องกระทำอย่างไรจึงจะชอบด้วยกฎหมาย
เรียนผู้สมัคร
ตอบลบเราให้เงินกู้ยืมแก่ บริษัท เอกชนและบุคคลทั่วไป คุณสามารถหาข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเงินกู้ด้านล่าง ในการรับเงินกู้จาก บริษัท ของเรามีข้อมูลบางอย่างที่เราต้องส่งให้คุณก่อนที่เราจะสามารถดำเนินการต่อไปได้ อัตราดอกเบี้ย: ในการกู้ยืมเราคิดดอกเบี้ย 2% AMOUNT GIVEN: เราให้รายละเอียดขั้นต่ำตั้งแต่ 1,000.00 ถึงสูงสุด 100,000,000.00 ข้อมูลจำเป็น: สำหรับข้อมูลที่จำเป็นคุณจะต้องกรอกใบสมัครที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของคุณและข้อมูลการกู้ยืมเงินซึ่งจะช่วยให้เราให้คุณได้ สัญญาฉบับเต็มของเงื่อนไขการกู้ยืมเงินและข้อตกลงที่คุณจะคาดว่าจะลงชื่อและส่งกลับไปยัง บริษัท เพื่อขออนุมัติหากพอใจ ส่งอีเมลถึงเรา: (morrislaurenceloanfirm@gmail.com)
วิธีการและใช้? กรุณากรอกข้อมูลดังนี้:
แบบฟอร์มขอสินเชื่อ
ชื่อเต็ม: ....................
ประเทศ: .....................
สถานะ: ..............
เมือง: ..............
เพศ: .........................
หมายเลขโทรศัพท์: ...........
วงเงินกู้: ...........
รายได้ต่อเดือน: ..........
อาชีพ: ................... ....
ระยะเวลาเงินกู้: ....................... ................
วัตถุประสงค์ของสินเชื่อ: ......................... ...........
ที่อยู่อีเมล: ...................... ................
คุณเคยใช้มาก่อนหรือไม่? ....................
กรอกแบบฟอร์มใบสมัครเร่งด่วน
ส่งอีเมลถึงเรา: (morrislaurenceloanfirm@gmail.com)
ด้วยความนับถือ
เรียนผู้สมัคร
ตอบลบเราให้เงินกู้ยืมแก่ บริษัท เอกชนและบุคคลทั่วไป คุณสามารถหาข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับเงินกู้ที่เราเสนอด้านล่างได้ ในการได้รับเงินกู้จาก บริษัท ของเราเรามีข้อมูลบางอย่างที่เราจำเป็นต้องส่งก่อนที่เราจะสามารถดำเนินการได้ อัตราดอกเบี้ย: สำหรับเงินกู้ที่เราเสนอจะคิดอัตราดอกเบี้ย 3% จำนวนเงินขั้นต่ำ: 1,000.00 ถึงสูงสุด 100,000,000.00 ข้อมูลที่จำเป็น: สำหรับข้อมูลที่คุณต้องการคุณจะต้องกรอกแบบฟอร์มใบสมัครที่มีข้อมูลข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลการให้ยืมซึ่งจะช่วยให้เราสามารถให้ข้อมูลที่คุณต้องการได้ สำเนาสัญญาเงินกู้ฉบับสมบูรณ์และข้อตกลงที่คุณคาดว่าจะลงชื่อและส่งกลับมายัง บริษัท เพื่อขออนุมัติหากพอใจ ส่งอีเมลถึงเรา: (morrislaurenceloanfirm@gmail.com)
ฉันจะใช้มันได้อย่างไร? กรุณากรอกแบบฟอร์มด้านล่าง:
ใบสมัครเครดิต
ชื่อเต็ม:....................
ประเทศ:.....................
สถานะ:..............
เมือง:..............
เพศ:.........................
หมายเลขโทรศัพท์:...........
เงินกู้: ...........
รายได้ต่อเดือน: ..........
อาชีพ: ................... ....
ระยะเวลาเงินกู้: ....................... ................
วัตถุประสงค์ของสินเชื่อ: .........................
ที่อยู่อีเมล:...................... ................
คุณได้ใช้มันมาก่อนหรือไม่? ....................
เรากำลังรอคำร้องขอเร่งด่วนเพื่อกรอกข้อมูล
ด้วยความเคารพ