วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คำพิพากษาศาลฎีกา คดีแพทย์ฟ้องขอให้เพิกถอนมติแพทยสภาที่ตัดสินภาคทัณฑ์แพทย์จ่ายยาและวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทโดยไม่ตรวจอาการในคลินิก

คำพิพากษาศาลฎีกา คดีแพทย์ฟ้องขอให้เพิกถอนมติแพทยสภาที่ตัดสินภาคทัณฑ์แพทย์จ่ายยาและวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทโดยไม่ตรวจอาการในคลินิก


คำพิพากษาศาลฎีกาที่  4080/2550
นายไพโรจน์ เกิดสมุทร
     โจทก์
แพทยสภา
     จำเลย

ป.วิ.พ. มาตรา 142
พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 มาตรา 39

          การสอบสวนของแพทยสภาจำเลยจะชอบด้วยกระบวนการสอบสวนหรือไม่ ต้องมีข้อเท็จจริงที่จะนำมาพิจารณาปรับเข้ากับข้อกฎหมาย เมื่อโจทก์ไม่ได้ยกขึ้นกล่าวไว้ในคำฟ้องจึงไม่มีประเด็นการสอบสวนชอบหรือไม่ จำเลยจึงไม่จำเป็นที่จะต้องนำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกขึ้นวินิจฉัยว่ากระบวนการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายย่อมไม่เป็นธรรมต่อจำเลย จึงไม่ชอบเพราะหากมีประเด็นนี้ในศาลชั้นต้น จำเลยอาจจะนำสืบข้อเท็จจริงต่างจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยได้ การที่จะยกข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยเอง จะต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงในประเด็นแห่งคดีด้วย
          โจทก์ไม่ได้ตรวจร่างกาย ป. ก่อนที่ ส. จะจ่ายมา เมื่อยาดังกล่าวเป็นไดอาซีแพมหรือแวเลี่ยมวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 และเออโกตามีน ทาร์เตรต ซึ่งเป็นยาอันตราย การกระทำของโจทก์จึงเป็นการขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ อาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของผู้ป่วยได้และอาจเป็นเหตุให้เสื่อมเสีย เกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ การที่คณะกรรมการของแพทยสภาจำเลยเห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าวของโจทก์เป็น อันตรายต่อสังคมทั่วไปและเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับแพทย์สภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2526 หมวด 1 ข้อ 2 และมีมติภาคทัณฑ์โจทก์ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 มาตรา 39 (3) จึงเป็นดุลพินิจที่ชอบ

________________________________


          โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยได้รับอนุญาตจากจำเลยและเปิดสถานพยาบาลชื่อรวมแพทย์ข้างฟากคลินิก (ที่ถูกรวมแพทย์ข้ามฟากโพลีคลินิก) ตั้งอยู่เลขที่ 75/18 ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2538 เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสมุทรปราการส่งพลตำรวจสมัครประสิทธิ์ ศิริจินดา เข้าไปล่อซื้อยาจากโจทก์และจับกุมโจทก์กับพวกในข้อหาขายยาไดอาซีแพมหรือแวเลี่ยม วัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 และยาแผนปัจจุบันอันตราย โดยไม่มีใบอนุญาตและใบสั่งยาจากแพทย์และยินยอมให้มีการประกอบโรคศิลปะโดยผิดกฎหมาย ต่อมาอัยการจังหวัดสมุทรปราการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องโจทก์กับพวก เพราะโจทก์กับพวกไม่ได้กระทำความผิด คณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมที่จำเลยแต่งตั้งแสวงหาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าคดีมีมูล จำเลยจึงตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนชุดที่ 1 สอบสวนโจทก์และมีความเห็นควรลงโทษว่ากล่าวตักเตือนโจทก์ แต่จำเลยกลับลงโทษภาคทัณฑ์โจทก์ตามคำสั่งแพทยสภาที่ 2/2541 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2541 โจทก์เห็นว่าคำสั่งของจำเลยดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ขอให้จำเลยเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ ขอให้เพิกถอนหรือยกเลิกคำสั่งแพทยสภาที่ 2/2541 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2541


          จำเลยให้การว่า คำสั่งดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายแล้ว เหตุที่มีการออกคำสั่งดังกล่าวเนื่องจากได้รับคำร้องเรียนจากประชาชนว่าโจทก์มีพฤติการณ์ที่ไม่ชอบ เลขาธิการแพทยสภาจึงเสนอเรื่องต่อประธานอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง คณะกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาเวชกรรม ชุดที่ 5 มีความเห็นและมีมติว่าคดีมีมูล จำเลยจึงส่งเรื่องให้คณะกรรมการสอบสวนชุดที่ 1 สอบสวนแล้วมีความเห็นว่า โจทก์สั่งยาไดอาซีแพมหรือแวเลี่ยมให้แก่คนไข้โดยไม่ได้ตราจร่างกายและยาดังกล่าวเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ถือว่าพฤติกรรมดังกล่าวไม่เหมาะสมเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมหมวด 1 ข้อ 2 เห็นสมควรลงโทษว่ากล่าวตักเตือน จำเลยพิจารณาสำนวนการสอบสวนและความเห็นของคณะอนุกรรมการสอบสวนชุดที่ 1 แล้ว เห็นควรเพิ่มโทษเป็นภาคทัณฑ์ จึงเสนอมติของจำเลยต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งดำรงตำแหน่งสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภาเพื่อให้ความเห็นชอบแล้วก่อนที่จำเลยจะออกคำสั่งดังกล่าว จำเลยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องโจทก์กับพวกไม่มีผลต่อการสอบสวนด้านจริยธรรมโจทก์ และเหตุที่อัยการจังหวัดสมุทรปราการมีคำสั่งไม่ฟ้องโจทก์เป็นเพราะคดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

          ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งแพทยสภาที่ 2/2542 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2541 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

          จำเลยฎีกา

          ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบและไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยได้รับอนุญาตจากจำเลย ตามใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมเอกสารหมาย จ.1 โจทก์เปิดสถานพยาบาลใช้ชื่อว่ารวมแพทย์ข้ามฟากโพลีคลินิก เลขที่ 75/81 ถนนศรีสมุทร ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2538 พลตำรวจสมัครประสิทธิ์ ศิริจินดา ปลอมตัวเป็นคนไข้เข้าไปที่คลินิกของโจทก์อ้างว่าไม่สบายปวดศีรษะตัวร้อนและ นอนไม่หลับขอให้ช่วยจัดยาให้ โจทก์คิดค่ารักษาพยาบาลในราคา 90 บาท จากนั้นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการร่วมกับเจ้าพนักงานตำรวจ สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสมุทรปราการจับกุมโจทก์ ชั้นจับกุมแจ้งข้อหาแก่โจทก์ว่าจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 และจำหน่ายยาแผนปัจจุบันอันตรายโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ พนักงานสอบสวนส่งยาของกลางไปตรวจพิสูจน์ปรากฏผลตามรายงานการตรวจวิเคราะห์ เอกสารหมาย ล.9 พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องโจทก์กับพวก ต่อมามีการร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมของโจทก์โดยแนบสำเนาข่าวจากหนังสือ พิมพ์เกี่ยวกับเรื่องที่โจทก์ถูกจับกุมในคดีดังกล่าวไปยังสำนักงานเลขาธิการ แพทยสภา ตามเอกสารหมาย ล.13 เนื่องจากโจทก์เป็นแพทย์ซึ่งประกอบวิชาชีพเวชกรรมอยู่ภายใต้ระเบียบข้อ บังคับของจำเลยว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2526 เอกสารหมาย ล.4 ออกตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 คณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม ชุดที่ 5 ของจำเลยสอบสวนและพิจารณาแล้วเห็นว่าพฤติกรรมของโจทก์อาจจะทำให้เกิดความ เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพเวชกรรมและยินยอมให้มีการกระทำความ ผิดต่อกฎหมายในสถานพยาบาล คดีมีมูล ตามบันทึกสรุปผลการแสวงหาข้อเท็จจริงเอกสารหมาย ล.14 จึงส่งเรื่องให้คณะกรรมการแพทยสภาพิจารณา ซึ่งมีความเห็นว่าข้อกล่าวหามีมูล ตามบันทึกรายงานการประชุมคณะกรรมการแพทยสภาเอกสารหมาย ล.15 จากนั้นส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการสอบสวนชุดที่ 1 ของจำเลยสอบสวนต่อไปโดยแจ้งข้อกล่าวหาให้โจทก์ทราบและหมายเรียกโจทก์ไปชี้ แจง ตามเอกสารหมาย ล.1 และโจทก์ให้ปากคำต่อคณะอนุกรรมการสอบสวนตามคำให้การเอกสารหมาย ล.5 คณะกรรมการสอบสวนสอบปากคำนายมานิตย์ อรุณกูร พลตำรวจสมัครประสิทธิ์ ศิริจินดาและนายพีรชัย นิลสุวรรณโฆษิต ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย ล.6 ถึง ล.8 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการส่งเอกสารเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้ แก่คณะอนุกรรมการสอบสวน ตามเอกสารหมาย ล.2 คณะอนุกรรมการสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่า ยาที่ล่อซื้อจากคลินิกของโจทก์ที่เรียกว่าไดอาซีแพมหรือแวเลี่ยมเป็นวัตถุ ออกฤทธิ์ในประเภท 4 ผู้ป่วยจะซื้อยาดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากแพทย์ ซึ่งแพทย์ต้องตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยก่อนจึงจะสั่งยาชนิดนี้ให้แก่ผู้ป่วย แต่โจทก์ไม่ได้ตรวจและวินิจฉัยโรคเช่นเดียวกับแพทย์ทั่วไปก่อนที่จะสั่งยา ให้แก่ผู้ป่วย พฤติกรรมของโจทก์อาจจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ เวชกรรม จึงมีความเห็นควรลงโทษโจทก์ โดยการว่ากล่าวตักเตือนตามรายงานผลการสอบสวนเอกสารหมาย ล.3 คณะกรรมการแพทยสภาพิจารณาแล้วมีมติให้ภาคทัณฑ์โจทก์ ตามบันทึกรายงานการประชุมเอกสารหมาย ล.10 ซึ่งเป็นอำนาจของคณะกรรมการแพทยสภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขซึ่งดำรงตำแหน่งสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา พิจารณาแล้วเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการแพทยสภา ตามเอกสารหมาย ล.16 จำเลยมีคำสั่งลงโทษโจทก์ตามคำสั่งเอกสารหมาย ล.7

          คดีมีปัญหาวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกกระบวนการสอบสวนของจำเลยขึ้นวินิจฉัยโดยที่โจทก์มิได้กล่าวอ้างมาในคำฟ้องชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ เห็นว่า การสอบสวนของจำเลยจะชอบด้วยกระบวนการสอบสวนหรือไม่ ย่อมต้องมีข้อเท็จจริงที่จะนำมาพิจารณาปรับเข้ากับข้อกฎหมาย เมื่อโจทก์ไม่ได้ยกขึ้นกล่าวไว้ในคำฟ้องจึงไม่มีประเด็นการสอบสวนชอบหรือไม่ จำเลยจึงไม่จำเป็นที่จะต้องนำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกขึ้นวินิจฉัยว่ากระบวนการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงไม่เป็นธรรมต่อจำเลยเพราะหากมีประเด็นนี้ในศาลชั้นต้น จำเลยอาจจะนำสืบข้อเท็จจริงต่างจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยก็ได้ การที่จะยกข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยเอง จะต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงในประเด็นแห่งคดีด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น และเพื่อมิให้คดีต้องล่าช้าศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาใหม่

          คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยมีคำสั่งภาคทัณฑ์โจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตามคำแก้ฎีกาของโจทก์ซึ่งโจทก์เคยอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังไม่ได้วินิจฉัย สรุปได้ว่า โจทก์ได้ตรวจร่างกายพลตำรวจสมัครประสิทธิ์ ศิริจินดา แล้วโดยชอบ และได้วินิจฉัยอาการของพลตำรวจสมัครประสิทธิ์ จึงได้เขียนใบสั่งยาตามเอกสารหมาย จ.2 โจทก์เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออก ฤทธิ์ไดอาซีแพมหรือแวเลี่ยมโดยชอบ การกระทำของโจทก์จึงมิได้ผิดต่อกฎหมายแต่อย่างใด อัยการจังหวัดสมุทรปราการจึงได้มีคำสั่งไม่ฟ้องโจทก์ โจทก์มิได้กระทำการใดๆ อันอาจเป็นเหตุให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ จำเลยจึงไม่อาจมีคำสั่งลงโทษโจทก์ได้นั้น เห็นว่า การกระทำใดๆ อันอาจเป็นเหตุให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพหรือไม่ไม่จำเป็นต้อง เป็นการกระทำความผิดอาญา แต่เป็นเหตุอื่นใดก็ได้แล้วแต่ข้อเท็จจริงเป็นเรื่องๆ ไป คดีนี้สืบเนื่องมาจากมีหนังสือร้องเรียนโจทก์ ตามเอกสารหมาย ล.13 ว่าที่คลินิกรวมแพทย์ข้ามฟากโพลีคลินิกของโจทก์ถูกเจ้าพนักงานตำรวจดำเนิน คดีฐานลักลอบจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 แล้วเหตุใดคลินิกยังเปิดดำเนินการได้ จำเลยโดยนายกแพทย์สภาขณะนั้นจึงมีคำสั่งส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการจริยธรรม แห่งวิชาชีพเวชกรรมพิจารณา คณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม ชุดที่ 5 ได้สอบข้อเท็จจริงแล้ว จึงสรุปผลการแสดงหาข้อเท็จจริง เห็นว่ากรณีคดีมีมูล รายละเอียดปรากฏตามเอกสารสรุปผลการแสวงหาข้อเท็จจริงเอกสารหมาย ล.14 คณะกรรมการแพทยสภาจึงได้ประชุมเพื่อพิจารณากรณีของโจทก์และมีมติว่าคดีมีมูล ให้ส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการสอบสวนดำเนินการสอบสวนโจทก์ กรณีกระทำการอันอาจให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ และยินยอมให้มีการประกอบโรคศิลปะโดยผิดกฎหมายในสถานพยาบาลซึ่งตนเป็นผู้ ดำเนินการอยู่ รายละเอียดปรากฏตามสำเนาบันทึกรายงานการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ครั้งที่ 2/2539 เอกสารหมาย ล.15 คณะกรรมการสอบสวนชุดที่ 1 ดำเนินการสอบสวนแล้วได้ข้อเท็จจริงว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้สืบทราบว่า สถานพยาบาลรวมแพทย์ข้ามฟากโพลีคลินิก ตั้งอยู่เลขที่ 75/18 ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการซึ่งมีโจทก์เป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาลได้มีการจำหน่าย วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทและยาแผนปัจจุบันประเภทอันตรายแก่นักเรียนจึงได้ ขอความร่วมมือกับเจ้าพนักงานตำรวจทำการล่อซื้อและดำเนินการจัดกุมในข้อหา จำหน่ายยาโดยไม่มีใบสั่งแพทย์ จึงมีมติเห็นว่าการกระทำของโจทก์ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมหมวด 1 ข้อ 2 ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมย่อมไม่ประเพฤติหรือกระทำการใดๆ อันอาจเป็นเหตุให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพสมควรลงโทษว่ากล่าวตัก เตือน รายละเอียดปรากฏตามสรุปสำนวนสอบสวนเอกสารหมาย ล.3 คณะกรรมการแพทยสภาจึงได้ประชุมในครั้งที่ 9/2540 แล้วมีมติภาคทัณฑ์โจทก์ รายละเอียดปรากฏตามบันทึกรายงานการประชุมคณะกรรมการแพทยสภาเอกสารหมาย ล.10 จากข้อเท็จจริงดังกล่าวทั้งหมดสรุปได้ว่า เหตุที่จำเลยภาคทัณฑ์โจทก์ก็เนื่องมาจากการจ่ายยาไดอาซีแพมหรือแวเลี่ยมซึ่ง เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอันเป็นยาอันตรายแก่คนใช้โดยไม่ได้ตรวจ ร่างกายให้ละเอียด โดยพลตำรวจสมัครประสิทธิ์เบิกความเป็นพยานจำเลยว่า เมื่อพยานเข้าไปในคลินิกของโจทก์พบนางสาวสุพรรณี อาจหาญ พยานแจ้งว่ามีอาการปวดศีรษะนอนไม่หลับนางสาวสุพรรณีได้จ่ายยาให้ สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในสรุปสำนวนสอบสวนเอกสารหมาย ล.3 โดยได้ความเพิ่มเติมจากคำให้การของพลตำรวจสมัครประสิทธิ์ต่อคณะกรรมการแพทย สภาว่า ขณะมีการล่อซื้อโจทก์ตรวจคนไข้อยู่ห้องอื่น นางสาวสุพรรณีได้ตะโกนบอกอาการให้โจทก์ทราบ โจทก์จึงบอกให้นางสาวสุพรรณีจัดยาให้ และในบันทึกการจับกุมเจ้าพนักงานตำรวจได้บันทึกพฤติการณ์ในการจับกุมโดยมี รายละเอียดการล่อซื้อไว้ด้วย โจทก์และนางสาวสุพรรณีก็ให้การรับสารภาพ ตามเอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 8 จึงรับฟังได้ว่าโจทก์ไม่ได้ตรวจร่างกายพลตำรวจสมัครประสิทธิ์ก่อนที่นางสุพร รณีจะจ่ายยา เมื่อจัดส่งยาดังกล่าวไปตรวจวิเคราะห์พบว่าเป็นไดอาซีแพมหรือแวเลี่ยมวัตถุ ออกฤทธิ์ในประเภท 4 และเออโกตามีน ทาร์ เตรต ซึ่งเป็นยาอันตราย ตามผลการตรวจวิเคราะห์เอกสารหมาย ล.9 การกระทำของโจทก์จึงเป็นการขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่อาจเกิดอันตรายต่อ สุขภาพและชีวิตของผู้ป่วยได้และอาจเป็นเหตุให้เลื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่ง วิชาชีพ ดังนั้น การที่คณะกรรมการของจำเลยพิจารณาแล้ว เห็นว่า พฤติกรรมดังกล่าวของโจทก์เป็นอันตรายต่อสังคมทั่วไป และเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2526 หมวด 1 ข้อ 2 และมีมติภาคทัณฑ์โจทก์ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 มาตรา 39 (3) ถือว่าเป็นดุลพินิจที่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

          พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ



( บุญส่ง น้อยโสภณ - ชาลี ทัพภวิมล - สิทธิชัย พรหมศร )


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น