คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3804/2540
|
|
ป.อ. มาตรา 90
ป.วิ.อ. มาตรา 2(6), 120, 123
พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 มาตรา 46, 47(2), 72(4), 76(1), 79, 122, 123
พ.ร.บ.ยา (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2522 มาตรา 3
ในการผลิตยาแผนโบราณตาม
พระราชบัญญัติยานั้นนอกจากผู้ผลิตจะต้องได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตตามมาตรา
46 วรรคหนึ่งแล้ว
ยังต้องปรากฏว่ายาแผนโบราณที่จะผลิตนั้นต้องเป็นยาที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา
ไว้แล้วตามมาตรา 72(4)
หรือผู้ผลิตได้นำตำรับยานั้นมาขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และได้รับ
ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาแล้วตามมาตรา 79 จึงจะผลิตยานั้นได้
หากเป็นการปรุงยาตามตำราที่รัฐมนตรีประกาศตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510
มาตรา 76(1) โดยผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ
และเป็นการทำเพื่อขายเฉพาะสำหรับคนไข้ของตนตามมาตรา 47(2) แล้ว
จึงจะสามารถผลิตยานั้นได้โดยไม่ต้องรับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตตามมาตรา 46
วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1
เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลมีจำเลยที่ 2
เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โดยจำเลยที่
1ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ผลิตยาแผนโบราณตามใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ
สาขาเภสัชกรรมส่วนจำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ สาขาเวชกรรม และเภสัชกรรม
การที่จำเลยทั้งสองได้ดำเนินการผลิตยาแผนโบราณเป็นยาเม็ดลูกกลอนของกลาง
จำนวน 2 ถุง ซึ่งมีผู้อื่นมาว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองผลิต
และยาของกลางมีส่วนผสมของมหาหิงคุ์ซึ่งถือว่าเป็นยาแผนโบราณ
โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาและไม่นำตำรับยาไปขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งจำเลยมิได้ผลิตเพื่อรักษาคนไข้ของตนเอง
การที่จำเลยทั้งสองมิได้ผลิตยาของกลางเพื่อขายเฉพาะสำหรับคนไข้ของตน
แม้จำเลยทั้งสอง จะได้รับใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ
กรณีก็ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตาม พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 47(2)
และเมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาและไม่นำตำรับยาไปขอขึ้น
ทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
จำเลยจึงไม่ได้ใบรับอนุญาตจากผู้อนุญาตให้ผลิตยาแผนโบราณได้ตามมาตรา 46
วรรคหนึ่งจำเลยทั้งสองจึงต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาฯมาตรา
72(4),79,122,123 อันเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายกรรม
แม้ขณะ ป.ลงชื่อในคำร้องทุกข์ ขณะนั้นรายละเอียดต่าง
ๆยังไม่ได้กรอกข้อความลงไป และ
ป.ไม่ทราบว่าจะแจ้งความให้ดำเนินคดีจำเลยในความผิดฐานใดก็ตามแต่เมื่อปรากฏ
ว่า ป.เป็นผู้ได้ตรวจค้นพบยาของกลางและได้บันทึกการยึดยาไว้
เมื่อผลการตรวจพิสูจน์พบว่าของกลางเป็นเนื้อที่เยื่อของพืชและมหาหิงคุ์ซึ่ง
เป็นยาแผนโบราณ ผู้บังคับบัญชาจึงมอบหมายให้ ป.ไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี
ดังนั้น เมื่อป.ได้รับมอบหมายให้ไปร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
และการจะสอบสวนจำเลยในความผิดฐานใดนั้นย่อมเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนที่จะ
ดำเนินการต่อไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการสอบสวน
ดังนั้นการสอบสวนจึงชอบแล้ว
________________________________
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1
เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล มีจำเลยที่ 2
เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยทั้งสองเป็นผู้ได้รับอนุญาต
ให้ผลิตยาแผนโบราณจากผู้อนุญาตตามกฎหมาย เมื่อระหว่างวันที่ 19 สิงหาคม
2534 ถึงวันที่ 4 กันยายน 2534 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน
จำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตยาโดยยาดังกล่าวมีส่วนผสมเนื้อเยื่อของพืชและ
มหาหิงคุ์ ซึ่งเป็นยาแผนโบราณตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510
เป็นยาเม็ดลูกกลอนใช้ชื่อว่ายาเทวดา จำนวน 1 ถึง
และยาเม็ดลูกกลอนไม่มีชื่อจำนวน 1 ถุง
ซึ่งเป็นยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาและจำเลยทั้งสองไม่นำตำรับยานั้นมาขอ
ขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และไม่ใช่เป็นกรณีที่ได้รับการยกเว้นอัน
เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 4,
72(4),79, 122, 123, 126 พระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2522มาตรา 3
และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาล
ชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510
มาตรา 72(4), 79, 122, 123เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
แต่ละบทมีโทษหนักเท่ากัน ให้ลงโทษตามมาตรา 122 ให้ปรับจำเลยที่ 1จำนวน
5,000 บาท ให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 เดือนและปรับ 5,000 บาท
โทษจำคุกจำเลยที่ 2 รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาล
อุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยที่ 1
ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนจำเลยที่ 2
หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30
นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1
เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลโดยมีจำเลยที่ 2
เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1
ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ผลิตยาแผนโบราณตามสำเนาใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะแผน
โบราณ สาขาเภสัชกรรม จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ สาขาเวชกรรมและเภสัชกรรม
จำเลยทั้งสองได้ดำเนินการผลิตยาแผนโบราณเป็นยาเม็ดลูกกลอนจำนวน 2 ถุง
ซึ่งมีผู้อื่นมาว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองผลิตตามใบรับบดยาผงและปั๊มเม็ด
กับรายการส่วนผสมเจ้าพนักงานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
กระทรวงสาธารณสุขได้ตรวจค้นสถานการค้าของจำเลยที่ 1
พบยาแผนโบราณดังกล่าวเมื่อนำไปตรวจสอบแล้วพบว่ายาของกลางมีส่วนผสม
ของมหาหิงคุ์ซึ่งถือว่าเป็นยาแผนโบราณโดยจำเลยทั้งสองไม่ได้ขึ้นทะเบียน
ตำรับยาและไม่นำตำรับยาไปขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งจำเลยมิได้
ผลิตเพื่อรักษาคนไข้ของตนเอง
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อแรกว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตาม
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยหรือไม่
เห็นว่าในการผลิตยาแผนโบราณตามพระราชบัญญัติยานั้น
นอกจากผู้ผลิตจะต้องได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตตามมาตรา 46 วรรคหนึ่งแล้ว
ยังต้องปรากฏว่ายาแผนโบราณที่จะผลิตนั้นเองเป็นยาที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา
ไว้แล้ว ตามมาตรา 72(4)
หรือผู้ผลิตได้นำตำรับยานั้นมาขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และได้รับ
ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาแล้ว ตามมาตรา 79 จึงจะผลิตยานั้นได้
อย่างไรก็ตามหากเป็นการปรุงยาตามตำราที่รัฐมนตรีประกาศตามมาตรา 76(1)
โดยผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณและเป็นการทำเพื่อขายเฉพาะสำหรับคนไข้ของตน
ตามมาตรา 47(2) แล้ว
จึงจะสามารถผลิตยานั้นได้โดยไม่ต้องรับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตตามมาตรา 46
วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงในคดีนี้ยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า
จำเลยทั้งสองมิได้ผลิตยาของกลางเพื่อขายเฉพาะสำหรับคนไข้ของตน
แม้จำเลยทั้งสองจะได้ใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ
กรณีก็ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา
47(2)และเมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาและไม่นำตำรับยาไปขอขึ้น
ทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
จำเลยจึงไม่ได้ใบรับอนุญาตจากผู้อนุญาตให้ผลิตยาแผนโบราณได้ตามมาตรา 46
วรรคหนึ่งจำเลยทั้งสองจึงต้องมีความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อต่อมาว่าการสอบสวนไม่ชอบ
เพราะนายประธาน ประเสริฐวิทยาการเบิกความว่า
ขณะลงชื่อในคำร้องทุกข์เอกสารหมาย จ.9 รายละเอียดต่าง ๆ
ยังไม่ได้กรอกข้อความลงไป
ไม่ทราบว่าจะแจ้งความให้ดำเนินคดีจำเลยในความผิดฐานใดในประเด็นนี้นายประธาน
เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า
ได้ตรวจค้นพบยาของกลางและได้บันทึกการยึดยาไว้ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5 ถึง
จ.8เมื่อผลการตรวจพิสูจน์พบว่าของกลางเป็นเนื้อเยื่อของพืชและมหาหิงคุ์ซึ่ง
เป็นยาแผนโบราณผู้บังคับบัญชาจึงมอบหมายให้ไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีตาม
เอกสารหมาย จ.9ร้อยตำรวจเอกทรงธรรม ศรีกาญจนา พนักงานสอบสวนเบิกความว่า
นายประธานได้มาร้องทุกข์และนำเอกสารหมายจ.1 ถึง จ.8 มามอบให้ เห็นว่า
ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวข้อเท็จจริงฟังได้ว่า
นายประธานได้รับมอบหมายให้ไปร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ส่วนการจะสอบสวนจำเลยทั้งสองในความผิดฐานใดนั้น
ย่อมเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนที่จะดำเนินการต่อไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
จากการสอบสวนดังนั้นการสอบสวนจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น