ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่
อ. 466/2557 กรณีที่มีการพิจารณาคดีจรรยาบรรณวิชาชีพหรือจริยธรรมวิชาชีพล่าช้า
และตามกฎหมายเฉพาะไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ว่าให้พิจารณาเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาใด
จึงต้องนำพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 45 มาใช้บังคับ ควรมีกำหนดระยะเวลา
90 วันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องเรียน มิฉะนั้นถือว่าพิจารณาล่าช้าเกินสมควร เพื่อคุ้มครอง"สิทธิของคู่กรณีที่จะต้องได้รับการพิจารณาโดยรวดเร็ว"
__________
คอลัมน์ คดีปกครอง: '90 วัน'...ระยะเวลาอันสมควร ในการพิจารณาอุทธรณ์!
นายปกครอง. บ้านเมือง ฉบับวันที่ 3 มกราคม
พ.ศ. 2558 หน้า 3
คดีปกครองที่นำมาเล่าสู่กันฟังฉบับนี้เป็นกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยให้ฝ่ายปกครองทำหน้าที่ภายในเวลาที่กำหนด
เนื่องจากฝ่ายปกครองทำหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร
โดยคดีนี้สามีของผู้ฟ้องคดีได้เข้ารับการรักษาพยาบาลกับโรงพยาบาลของรัฐ
หลังจากแพทย์ตรวจดูอาการแล้วก็ให้กลับบ้าน
แต่หลังจากนั้นผู้ป่วยเกิดอาการช็อกไม่รู้สึกตัว
จึงได้เข้าตรวจรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลอื่น
ผู้ฟ้องคดีจึงยื่นหนังสือร้องเรียนต่อแพทยสภา ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2553 ว่า
แพทย์ของโรงพยาบาลของรัฐประมาทเลินเล่อวินิจฉัยโรคโดยประเมินอาการไม่ถูกต้อง
และปล่อยให้กลับบ้านทั้งที่มีอาการป่วยอย่างหนัก
จึงขอให้ตรวจสอบการทำงานของแพทย์ดังกล่าว
เลขาธิการแพทยสภารับเรื่องร้องเรียนไว้เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2553
และได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมเพื่อพิจารณาเรื่องร้องเรียน
แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป 1 ปี
ก็ยังไม่ได้รับทราบคำวินิจฉัย
จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แพทยสภาพิจารณาเรื่องร้องเรียน
แพทยสภาชี้แจงว่า จำเป็นต้องแสวงหาข้อเท็จจริงต่างๆ
ให้ครบถ้วนและให้ความเป็นธรรมกับคู่กรณีทุกฝ่าย และไม่สามารถกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนได้
เรื่องนี้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องคือพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ.2539 มาตรา 45 ได้กำหนดระยะเวลาในการพิจารณาอุทธรณ์
โดยเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งไว้ต้องพิจารณาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์
และกรณีที่ไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ทั้งหมดหรือบางส่วนให้รายงานความเห็นพร้อมเหตุผลไปยังผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลานั้น
และผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงาน
และขยายระยะเวลาพิจารณาอุทธรณ์ออกไปได้อีกไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ครบกำหนดเวลา
ซึ่งรวมระยะเวลาในการพิจารณาอุทธรณ์คือเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์
ดังนั้น คดีนี้ การที่แพทยสภาพิจารณาเรื่องร้องเรียนนานกว่า 1 ปี
ถือว่าแพทยสภาละเลยหรือล่าช้าในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนหรือไม่?
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า
พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 และข้อบังคับแพทยสภา
ว่าด้วยกระบวนการพิจารณาเกี่ยวกับคดีด้านจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม
พ.ศ.2548 ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ ไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่แพทยสภาควรต้องดำเนินการในการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน
เพื่อพิจารณาสอบสวนความผิดด้านจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมไว้
จึงต้องนำมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
มาใช้บังคับ
ซึ่งเมื่อพิจารณาเทียบเคียงจากระยะเวลาขั้นสูงในการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองของฝ่ายปกครองตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว
"ระยะเวลาอันสมควร" ที่จะถือเป็นเกณฑ์เบื้องต้นว่า
แพทยสภาจำต้องพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้ฟ้องคดีให้เสร็จสิ้นนั้น
ควรมีกำหนดระยะเวลาเก้าสิบวันนับแต่วันที่แพทยสภาได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องเรียน
หาใช่ไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุดหรือไม่สามารถจะกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนได้ตามที่แพทยสภากล่าวอ้างแต่ประการใด
และการที่เรื่องดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการแสวงหาข้อเท็จจริง
ทั้งที่เวลาได้ล่วงพ้นไปกว่า 1 ปี 6 เดือนแล้ว
จึงถือว่าแพทยสภาปฏิบัติหน้าที่ในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้ฟ้องคดีล่าช้าเกินสมควร
(คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 466/2557)
คดีนี้เป็นอุทาหรณ์ที่ดีแก่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาอุทธรณ์หรือพิจารณาเรื่องร้องเรียนดังเช่นคดีนี้ว่า
เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจจะต้องเคารพต่อสิทธิของคู่กรณี โดยจะต้องพิจารณาโดยรวดเร็ว
และที่สำคัญจะต้องอยู่ภายในกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
หากกฎหมายที่ให้อำนาจไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้
ก็จะต้องนำระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามมาตรา 45
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
ซึ่งเป็นกฎหมายที่ประกันความเป็นธรรมให้แก่คู่กรณีในกระบวนการพิจารณาทางปกครองและมีมาตรฐานในการปฏิบัติราชการทั่วไปมาใช้บังคับ
เพื่อคุ้มครอง"สิทธิของคู่กรณีที่จะต้องได้รับการพิจารณาโดยรวดเร็ว"...ครับ!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น